สิ่งสำคัญเราควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดเหมาะพอดีกับขนาดห้อง หรือจะเป็นแบบบิวท์อินได้ยิ่งดี โดยเฉพาะตู้เก็บของติดผนัง ซึ่งจำเป็นมากในการใช้จัดเก็บอุปกรณ์ทำครัวให้เป็นระเบียบ และควรเป็นตู้ติดผนังในมุมสูง ซึ่งทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ด้านล่างให้เกะกะจนไม่มีทางเดิน เรามาดูกันดีกว่าว่าห้องครัวที่มีพื้นที่จำกัดจะตกแต่งออกมาได้อย่างลงตัว แค่ไหนกันค่ะ
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ห้องครัวเก๋ๆ สไตล์คอนโด
สิ่งสำคัญเราควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดเหมาะพอดีกับขนาดห้อง หรือจะเป็นแบบบิวท์อินได้ยิ่งดี โดยเฉพาะตู้เก็บของติดผนัง ซึ่งจำเป็นมากในการใช้จัดเก็บอุปกรณ์ทำครัวให้เป็นระเบียบ และควรเป็นตู้ติดผนังในมุมสูง ซึ่งทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ด้านล่างให้เกะกะจนไม่มีทางเดิน เรามาดูกันดีกว่าว่าห้องครัวที่มีพื้นที่จำกัดจะตกแต่งออกมาได้อย่างลงตัว แค่ไหนกันค่ะ
แขวนโมบาย เสริมดวงเจ้าของบ้าน
โมบาย หรือกังสดาล มีประโยชน์ด้านศาสตร์ฮวงจุ้ยที่ช่วยเสริมดวงเจ้าของบ้าน โดย
ตามตำราจีน เรียกว่า กังสดาล "ระฆังทิพย์" หรือ กระดิ่งลม
ภูมิปัญญาไทยสมัยโบราณทำไว้เพื่อบ่งบอกทิศทางลม ส่วนในทางฮวงจุ้ย
และความเชื่อของคนไทยสมัยก่อนเชื่อว่า โมบาย หรือ กังสดาล สามารถป้องกัน
ขจัด ขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่มีอยู่ในบ้านออกไปได้ ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจ
วิญาญร้าย นอกจากนี้ยังเป็นการสะเดาะเคราะห์ แก้เคล็ด ปัจจุบัน โมบาย
จึงได้มีการประยุกต์ให้เหมาะสำหรับฮวงจุ้ยมากยิ่งขึ้น ทำเป็นแท่งเหล็ก
มีป้ายเขียนตัวอักษรจีน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ความมงคลต่างๆ
ทั้งทางด้านการเงิน สุขภาพ ชีวิตและความเป็นอยู่ ส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัย
มีความเจริญรุ่งเรือง จิตใจเย็น ผ่อนคลายทั้ง กายและใจ
การแขวนโมบายนั้นจะ แขวนไว้ในตำแหน่งใดของบ้านก็ได้ แต่ควรเป็นตำแหน่งที่โล่ง สามารถรับลมได้สะดวก มิเช่นนั้น คุณอาจจะไม่ได้ยินเสียงกระทบใดๆ เลย ส่วนใหญ่นิยมแขวนไว้บริเวณชายคาบ้าน หน้าบ้าน ริมหน้าต่าง กันสาด แต่หากบริเวณบ้าน ยาก
ต่อการรับลม แนะนำให้ทำสายแขวนยาวๆ เพื่อให้ง่ายต่อ การสั่นสะเทือน หรือ
คุณอาจนำมาแขวนไว้บริเวณกิ่งไม้อ่อนๆ ก็จะช่วยให้เสียงกระทบ
เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพียงแค่มีลมพัดเข้ามาเบาๆ
ทั้งนี้เพื่อความหลากหลาย สามารถเลือกซื้อหลายๆ แบบมาแขวนรวมกัน
ก็จะได้ยินเสียงหลายโทน ให้ความไพเราะอย่างยิ่ง สำหรับโมบายกระดิ่งนี้
แม้จะ ไม่มีผลทางด้านฮวงจุ้ย หรือความเชื่อใดๆ แต่เมื่อได้นำมาแขวนไว้แล้ว
สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีนั่นคือ ความรู้สึก สบายกาย สบายใจ เย็นสงบโดยทันที
สำหรับท่านใดที่ ชอบความสงบ เจริญสติ ฝึกสมาธิ
เหมาะเป็นอย่างสูงที่จะเลือกแขวนเสริมดวงให้กับตัวบ้านและตัวเอง
หลักการวางนาฬิกา ตามหลักฮวงจุ้ย
นาฬิกา ถือเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่จะต้องดำเนินไปในแต่ละวัน นอกจากนี้แล้วนาฬิกายังแฝงนัยแห่งความสำเร็จก้าวหน้าอีกด้วย ถ้าในห้องหนึ่งมีนาฬิกามากกว่า 2-3 เรือน นั่นถือว่ามากเกินไปไม่สมดุลกับตัวห้อง
สำหรับตำแหน่งที่ดีของการติดตั้งนาฬิกานั้นควรอยู่ซ้ายมือของคุณ (หันหน้าออกนอกบ้าน) นาฬิกาทรง 6 เหลี่ยม และ 8 เหลี่ยม ถือเป็นรูปทรงที่เสริมมงคลโชคลาภแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย
จัดฮวงจุ้ยบ้าน ให้เก็บเงินเก็บทอง
หลักฮวงจุ้ยการจัดบ้านให้เก็บเงินเก็บทอง สามารถกล่าวว่า ทำได้ง่ายและสบาย ๆ
สำหรับวิชาฮวงจุ้ยแล้ว
ยังมีเคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้ท่านสามารถเก็บกับเงินทองให้อยู่กับท่าน
ไว้ให้ได้นานที่สุด เพื่อเป็นหลักประกันของชีวิตที่มีความสุข
ของครอบครัวตลอดไป
เคล็ดลับในการเก็บกักเงินทอง
1. ประการแรกที่สำคัญ คือ จะต้องมีการคำนวณทิศทางที่ดีที่สุดสำหรับบ้านหลังหนึ่งสามารถให้ลมสามารถเข้าสู่ตัวบ้านได้
โดยการเจาะเป็นช่องหน้าต่าง หรือประตู ก็ได้ โดยการคำนวณ ต้องใช้หลักการ
"ฮวง" ซึ่งหมายถึง "ลม" และ "จุ้ย" หมายถึง "น้ำ" "ลม"
จะแสดงถึงความเป็นอยู่ที่ดี และ "น้ำ" จะแสดงถึงเงินทอง ดังนั้น
คำนวณตามศาสตร์การเดินดาวเหิรหรือดาวเก้ายุค ฉะนั้นบ้านแต่
ละหลังที่สร้างในแต่ละยุค จะมีทิศทางที่ดีแตกต่างกัน
รวมทั้งควรวิเคราะห์ทิศดี-ร้าย ประจำปี
(ข้อนี้ต้องปรึกษาผู้รู้จริงช่วยคำนวณ)
2. ประการสองที่สำคัญ คือ สภาพแวดล้อมภายในบ้าน ต้อง
มีการปรับแต่งเฟอร์นิเจอร์ หรือจัดวางวัตถุสิ่งของ เช่น
ฉากกั้นเพื่อเก็บกักกระแสลม ที่เข้ามาตามข้อ 1
ให้วนเวียนอยู่ในบ้านท่านให้นานที่สุด
ก่อนที่กระแสซี่นั้นจะไหลออกไปทางหน้าต่าง หรือประตูบานอื่น ๆ ของบ้านท่าน มิฉะนั้น แม้ท่านจะหาเงินเก่งและมีจำนวนมากเพียงใด ก็จะมีเหตุให้ท่านต้องจับจ่ายใช้สอยจนหมดไปในเร็ววัน
3. ประการสามที่สำคัญ คือ บ้านที่ท่านอยู่ จะต้องมีประตูหลังบ้านที่เล็กกว่าประตูหน้าบ้าน เพราะทางฮวงจุ้ยถือว่า ประตูหน้าบ้านมักเป็นทางเข้าของโชคลาภ และประตูหลังบ้านจะเป็นทางออกของโชคลาภ
4. ประการสี่ที่สำคัญ คือ ต้องคำนึงถึงการจัดวางตำแหน่งของตู้เก็บเงิน หรือตู้เซฟ ภายในบ้านให้ได้ตำแหน่งที่ดี มีตำแหน่งดาวโชคลาภ(มุมร่ำรวย)ของยุคปัจจุบันแทน ก็จะทำให้ท่านแสวงหาเงินทองเข้าบ้านได้ยากเช่นกัน
5. ประการห้าที่สำคัญ คือ ตรวจสอบดวงชะตาชีวิตของตนเองประกอบด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการตรวจดวงด้วยวิธีใดก็ตาม เช่น ดวงจีน ดวงไทย หรือดวงพม่า
ว่าตัวท่านเองมีดวงเก็บเงินอยู่หรือไม่ ?
หากไม่มีนอกแล้วท่านต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการเก็บเงินของท่าน ให้อยู่ในรูปแบบอื่น เช่น โฉนดที่ดิน สลากออมสิน หรือกรมธรรม์ประกันชีวิต แทน
หากไม่มีนอกแล้วท่านต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการเก็บเงินของท่าน ให้อยู่ในรูปแบบอื่น เช่น โฉนดที่ดิน สลากออมสิน หรือกรมธรรม์ประกันชีวิต แทน
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าท่านจัดบ้านให้เก็บเงินทองอยู่ เพียงท่านใช้พลัง
"น้ำ" "ลม" ของธาตุที่สัมพันธ์กับท่านได้ จะช่วยให้ท่านเกิดความสุข
และช่วยเสริมบารมีของท่านของในเรื่องต่างๆได้ เช่น ตำแหน่งหน้าที่การงาน
เงินทอง โชคลาภ เป็นต้น
ทาสีรั้วบ้าน ช่วยเสริมฮวงจุ้ย
บ้านเป็นสถานที่ที่เราใช้อยู่อาศัยและพักผ่อนหย่อนใจ แต่ทราบไหมว่า การทาสีบ้านหรือสีรั้วมีความสัมพันธ์ กับทิศทางของหน้าบ้านหลังนั้นๆ ซึ่งจะช่วยเสริมในเรื่องฮวงจุ้ย และเพิ่มความสบายใจรวมทั้งเกิดความมั่นใจว่า ได้ทำถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย โดยการทาสีรั้วบ้านใหม่เพื่อให้ถูกโฉลกนั้นต้องอาศัยหลัก 5 ธาตุดังนี้
ทิศใต้ ธาตุไฟ สีเขียว หรือ สีส้ม แดง
ทิศเหนือ ธาตุน้ำ สีขาว หรือ สีฟ้า สีเขียว หรือ น้ำเงิน
ทิศตะวันออก หรือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ธาตุไม้ สีฟ้าหรือ สีเขียว สีแดง หรือ สีม่วง
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ธาตุดิน สีครีม หรือ สีส้ม สีชมพู
ทิศตะวันตก หรือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ธาตุทอง สีครีม หรือ สีฟ้า หรือ สีเทา หรือ สีขาว
นอกจากนี้ของตกแต่งบ้านก็มีส่วนช่วยเสริมฮวงจุ้ยด้วยเช่นกัน
ภาพวาดภูเขา จะนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ และความสำเร็จของหน้าที่การงาน ตกแต่งไว้ในห้องทำงาน หรือห้องครัว ก็ได้
สัตว์มงคล เสริมพลังแห่งความมั่นคงของธุรกิจ และการงาน ครอบครัวเป็นสุข ก็คือ สัตว์ที่เป็นช้าง
คริสตัล หรือ กระจกแก้วเป็นรูปปิระมิด วางไว้ในห้องนอน หรือห้องรับแขก มุมใดมุมหนึ่งก็ได้ จะช่วยให้พลังเลวร้ายที่จะเข้ามาในบ้าน จะกระจายออกไปเป็นเสี่ยง ๆ
ภาพวาดภูเขา จะนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ และความสำเร็จของหน้าที่การงาน ตกแต่งไว้ในห้องทำงาน หรือห้องครัว ก็ได้
สัตว์มงคล เสริมพลังแห่งความมั่นคงของธุรกิจ และการงาน ครอบครัวเป็นสุข ก็คือ สัตว์ที่เป็นช้าง
คริสตัล หรือ กระจกแก้วเป็นรูปปิระมิด วางไว้ในห้องนอน หรือห้องรับแขก มุมใดมุมหนึ่งก็ได้ จะช่วยให้พลังเลวร้ายที่จะเข้ามาในบ้าน จะกระจายออกไปเป็นเสี่ยง ๆ
ที่ดินสี่เหลี่ยมผืนผ้า อยู่แล้วรวย
ลักษณะที่ดินดี ควรปลูกบ้านเพื่ออยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ ในแบบของความเชื่อฮวงจุ้ย ซึ่ง
เป็นวิธีการสอนของคนสมัยก่อน
จะพบว่าความเชื่อเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับหลักของเหตุและผลอยู่ไม่น้อยที
เดียว ลักษณะที่ดินที่ไม่ดี ไม่ควรปลูกบ้านเพื่ออยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ
เพราะย่อมส่งผลไม่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยรวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ลองมาดูกันซิว่า
ลักษณะของที่ดินไม่ดีมีอะไรบ้าง
1.ลักษณะความยาวของหน้าบ้านยาวกว่าหลังบ้าน คือ หน้าบ้านกว้างหลังบ้านบ้านแคบ ส่งผลให้ที่อาศัยในบ้านลักษณะนี้มีใจคอคับแคบ เห็นแก่ตัว ถ้ามีเพื่อนอยู่บ้านลักษณะอย่างนี้ ควรหลีกหนีดีกว่า เพราะอาจถูกเอารัดเอาเปรียบ
2.ลักษณะที่ดินแหว่งทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านด้านขวามือ เป็นบ้านที่จะส่งผลให้ฐานะการเงินของบ้านไม่ดีนัก
3.บ้านที่มีลักษณะแหว่งและตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่งผลให้เจ้าของบ้านอายุสั้น
4.ถนนขนาบบ้านทั้ง 2 ทาง ที่ สร้างความหายนะแก่ผู้อยู่อาศัย ทำธุรกิจไม่ขึ้นมักถูกโกงเสมอๆ ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ก็ลดน้อยลง ลูกหลานและบริวารมักทะเลาะกันเป็นประจำ ถือว่าเป็นทิศของประตูผี ทำให้สมาชิกในบ้านเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ
5.รูปทรงที่ดินสี่เหลี่ยมคางหมูปากแคบ ตำราฮวงจุ้ยเรียกว่าเป็นที่ดิน "ถุงเงิน" เป็นที่ดินที่เก็บทรัพย์ได้ดี แต่อาจต้องดิ้นรนต่อสู้เอาบ้างในช่วงแรกเริ่ม น่าจะมีเหตุผลมาจากการเก็บภาษีที่ดินของประเทศจีนในสมัยก่อนเช่นเดียวกับข้อแรก ทำให้เจ้าของบ้านบนที่ดินหน้าแคบมีเงินเหลือเก็บมากกว่าบ้านบนที่ดินหน้ากว้าง และหากมองในแง่การออกแบบแล้ว ที่ดินลักษณะนี้มักจะมีปัญหาเรื่องเสียงรถ และฝุ่นควัน รบกวนน้อยกว่าด้วย
6.รูปทรงที่ดินใบมีด จะ มีแต่อันตราย การออกแบบบ้านบนที่ดินแคบยาว และมีขนาดเล็กมากๆ อาจมีปัญหาเรื่องการวางตำแหน่งห้องภายในบ้านซึ่งจะทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะที่ดินที่ด้านแคบหันไปทางทิศเหนือ-ใต้ เพราะจะทำให้ออกแบบตัวบ้านเลี่ยงแสงแดดได้ลำบาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้บ้านร้อน จนเจ้าของบ้านอยู่แล้วรู้สึกไม่สบาย
7.รูปทรงที่ดินรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และประสบอุบัติเหตุบ่อย จนเป็นเหตุให้มีเรื่องให้เสียเงินเสียทองเสมอ ที่ดินลักษณะ นี้ไม่ว่าจะวางตำแหน่งบ้านแบบไหนก็จะเหลือเศษสามเหลี่ยมมุมแหลม เป็นซอกรั้วบ้านทั้ง 2 ด้านเสมอ ซึ่งเป็นรูปร่างของพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้มากนัก นอกจากจะจัดเป็นสวนหรือระเบียงนั่งเล่น และในแง่ของจิตวิทยาลักษณะซอกมุมเหล่านี้ ยังเป็นมุมที่ทำให้ผู้มองเกิดความรู้สึกอึดอัดอีกด้วย
8.ที่ดินรูปค้อน จะส่งผลให้มีแต่เรื่องหนักใจ ครอบครัวแตกร้าว มีทุกข์เหมือนกับโดนค้อนทุบ ที่ดินลักษณะ นี้ถ้าหากเราวางผังบ้านไม่ดีจะเหลือซอกมุมและจุดอับมาก ซึ่งในการออกแบบบ้านที่ดีนั้น เจ้าของบ้านควรจะสามารถมองเห็นบริเวณภายในบ้าน ทุกๆส่วนได้ชัดเจนด้วย เพราะการมีมุมอับทางสายตาในบ้าน จะทำให้เจ้าของบ้านเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีในเชิงความไม่ปลอดภัยและเป็น กังวลได้ง่าย ดังนั้นการวางตำแหน่งบ้านบนที่ดินรูปค้อน เราจึงไม่ควรวางตัวบ้านเบี่ยงไปด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป
2.ลักษณะที่ดินแหว่งทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านด้านขวามือ เป็นบ้านที่จะส่งผลให้ฐานะการเงินของบ้านไม่ดีนัก
3.บ้านที่มีลักษณะแหว่งและตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่งผลให้เจ้าของบ้านอายุสั้น
4.ถนนขนาบบ้านทั้ง 2 ทาง ที่ สร้างความหายนะแก่ผู้อยู่อาศัย ทำธุรกิจไม่ขึ้นมักถูกโกงเสมอๆ ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ก็ลดน้อยลง ลูกหลานและบริวารมักทะเลาะกันเป็นประจำ ถือว่าเป็นทิศของประตูผี ทำให้สมาชิกในบ้านเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ
5.รูปทรงที่ดินสี่เหลี่ยมคางหมูปากแคบ ตำราฮวงจุ้ยเรียกว่าเป็นที่ดิน "ถุงเงิน" เป็นที่ดินที่เก็บทรัพย์ได้ดี แต่อาจต้องดิ้นรนต่อสู้เอาบ้างในช่วงแรกเริ่ม น่าจะมีเหตุผลมาจากการเก็บภาษีที่ดินของประเทศจีนในสมัยก่อนเช่นเดียวกับข้อแรก ทำให้เจ้าของบ้านบนที่ดินหน้าแคบมีเงินเหลือเก็บมากกว่าบ้านบนที่ดินหน้ากว้าง และหากมองในแง่การออกแบบแล้ว ที่ดินลักษณะนี้มักจะมีปัญหาเรื่องเสียงรถ และฝุ่นควัน รบกวนน้อยกว่าด้วย
6.รูปทรงที่ดินใบมีด จะ มีแต่อันตราย การออกแบบบ้านบนที่ดินแคบยาว และมีขนาดเล็กมากๆ อาจมีปัญหาเรื่องการวางตำแหน่งห้องภายในบ้านซึ่งจะทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะที่ดินที่ด้านแคบหันไปทางทิศเหนือ-ใต้ เพราะจะทำให้ออกแบบตัวบ้านเลี่ยงแสงแดดได้ลำบาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้บ้านร้อน จนเจ้าของบ้านอยู่แล้วรู้สึกไม่สบาย
7.รูปทรงที่ดินรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และประสบอุบัติเหตุบ่อย จนเป็นเหตุให้มีเรื่องให้เสียเงินเสียทองเสมอ ที่ดินลักษณะ นี้ไม่ว่าจะวางตำแหน่งบ้านแบบไหนก็จะเหลือเศษสามเหลี่ยมมุมแหลม เป็นซอกรั้วบ้านทั้ง 2 ด้านเสมอ ซึ่งเป็นรูปร่างของพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้มากนัก นอกจากจะจัดเป็นสวนหรือระเบียงนั่งเล่น และในแง่ของจิตวิทยาลักษณะซอกมุมเหล่านี้ ยังเป็นมุมที่ทำให้ผู้มองเกิดความรู้สึกอึดอัดอีกด้วย
8.ที่ดินรูปค้อน จะส่งผลให้มีแต่เรื่องหนักใจ ครอบครัวแตกร้าว มีทุกข์เหมือนกับโดนค้อนทุบ ที่ดินลักษณะ นี้ถ้าหากเราวางผังบ้านไม่ดีจะเหลือซอกมุมและจุดอับมาก ซึ่งในการออกแบบบ้านที่ดีนั้น เจ้าของบ้านควรจะสามารถมองเห็นบริเวณภายในบ้าน ทุกๆส่วนได้ชัดเจนด้วย เพราะการมีมุมอับทางสายตาในบ้าน จะทำให้เจ้าของบ้านเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีในเชิงความไม่ปลอดภัยและเป็น กังวลได้ง่าย ดังนั้นการวางตำแหน่งบ้านบนที่ดินรูปค้อน เราจึงไม่ควรวางตัวบ้านเบี่ยงไปด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป
ฉะนั้นลักษณะที่ดินที่ดี ย่อมส่งผลดีกับเจ้าของที่ดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามตำราฮวงจุ้ยเป็นที่ดินที่
ดีที่สุด ผู้อยู่อาศัยจะดี ครอบครัวมีความสุข
เป็นลักษณะรูปทรงที่ดินที่วางผังบ้านได้ง่ายที่สุด
และสามารถออกแบบให้มีพื้นที่เหลือ
สำหรับสวนและปลูกต้นไม้ได้มากกว่าที่ดินลักษณะอื่นๆ โดยเฉพาะที่ดินสี่
เหลี่ยมผืนผ้า ที่อยู่ทางทิศขวางตะวันหรือมีด้านแคบหันไปทางทิศตะวันออก
และตะวันตก เพราะจะช่วยให้เราสามารถออกแบบบ้านรับลมประจำถิ่น
ที่พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้เต็มที่
บทความ อ. สิวริศว ญาณทิพย์
จัดให้รวย ตามหลักฮวงจุ้ย
โดยทั่วไปฮวงจุ้ยของบ้านที่เข้าไปอยู่แล้ว (จะ) รวยมักมีลักษณะดังนี้
1. ทำเลที่ตั้งและความสะดวกของทางเข้าออก ในทางฮวงจุ้ยจะมองถึงแหล่งจ่ายกระแสพลังงานที่จะมาเข้าบ้าน หาก อาคารที่เราอยู่นั้นตั้งอยู่ใกล้กับชุมทางที่มีถนนมารวมกันหลายๆ สาย และสามารถดักกระแสลังงานได้ นั่นย่อมทำให้สถานที่นั้นๆ มีโอกาสเจริญรุ่งเรืองได้รวเร็ว มีโชคทางธุรกิจที่หลากหลาย อย่างไรก็ตามสถานที่หรือบ้านไม่ควรสูงหรือต่ำกว่าถนนจนเกินไป ไม่มีสิ่งกีดขวางทางเข้าออก เพื่อให้โชคที่มากับลมนั้นเข้ามาได้มากที่สุด แบบนี้จึงเป็นลักษณะของบ้านที่อยู่แล้วรวย
2. ขนาดของพื้นที่และองศาทิศทาง การมีลมพัดเข้ามาถ่ายเทเป็นจุดเริ่มต้นของการมีฮวงจุ้ยที่ดี แต่ยังไม่ถึงกับเรียกว่าดี 100% เพราะต้องวัดองศาทิศทางของประตูหน้าบ้านด้วย แล้วนำมาจัดบ้านให้สอดคล้องกับสูตรลับที่คำนวณได้ ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่าควรจะส่งเสริมอะไรบ้าง เช่น สภาพทางโล่งด้านหน้าหรือด้านหลัง
ดัง นั้นหากเรามีขานดพื้นที่มากพอ สมควร ย่อมทำให้การจัดฮวงจุ้ยสามารถเลือกตัวช่วยให้เหนี่ยวนำพลังเข้าบ้านได้ มากกว่าบ้านพื้นที่จำกัด ทั้งนี้ทิศทางยังสัมพันธ์กับอาชีพของเจ้าของบ้านด้วย สำหรับบ้านที่ เป็นรูปถุงเงินนั้นจัดเป็นที่ดินที่ดีมาก แต่จะต้องทราบว่าที่ดินนั้นจะต้องมีหน้ากว้าง และที่ด้านหลังกว้างกว่า จึงจะถือว่าเป็นถุงเงินของจริง มิใช่ที่หน้าแคบอย่างที่หลายท่านเข้าใจ
3. สภาพของต้นไม้ใบหญ้า หากบริเวณที่อยู่นั้นมีต้นไม้เขียวชอุ่มงดงามมีชีวิตชีวา แสดงว่าพลังในดินดีจึงส่งผลดีไปถึงต้นไม้และผู้อยู่อาศัยด้วย หากในบ้านมีต้นไม้ยืน้นตายให้รีบนำออกไป นอกจากนี้ สีสันของบ้านก็มีส่วนสำคัญ อย่าปล่อยให้ดูเก่าหรือสีถลอก จะทำให้ขาดพลังชีวิต
บ้านที่อยู่แล้วรวยยังรวมถึงการจัดบ้านที่สอด คล้องกับพลังประจำยุค พลังประจำปี และกระตุ้นโชคด้วยฤกษ์ยาม เนื่องจากพลังดี-ร้ายจะมาเยือนบ้านแต่ละหลังในทิศต่างๆ กัน หากจัดบ้านด้วย พลังประจำปีโดยจัดกระตุ้นโชค และวางสิ่งของลดโชคร้ายในมุมที่เหมาะสมแล้ว ก็จะเสริมให้มีโชคได้ตลอดและเป็นที่มาของความรุ่งเรืองได้ทุกปี
บ้านฮวงจุ้ยดีมีโอกาสร่ำรวย
- บ้านที่มีทางเข้าออกสะดวก ใกล้ถนนหลายสาย ตัวบ้านไม่สูงหรือต่ำกว่าถนนมากเกินไป
- ขนาดบ้านพอเหมาะไม่เล็กจนเกินไป มีลมเข้าออกตลอดเวลา สภาพแวดล้อมร่วมรื่น ต้นไม้เขียวขจี
- องศาทิศทางอยู่ในตำแหน่งที่สอดคล้องกับพลังงานประจำยุคประจำปี
Cr. CMC
ฮวงจุ้ย กับคอนโด
"ฮวงจุ้ย" ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนรู้จัก แต่รู้ อย่างถูกบ้างผิดบ้าง
"ฮวงจุ้ย" หลายคนเชื่ออย่างงมงาย โดยไม่รู้เหตุผลและที่มาว่าเป็นอย่างไร แม้กระทั่งอาจารย์ดู
"ฮวงจุ้ย" บางรายก็สอนและแนะนำคนอื่นอย่างผิด ๆ ในหลาย ๆ เรื่อง
"ฮวงจุ้ย" แท้จริงนั้น คืออะไร
"ฮวงจุ้ย" คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วย การจัดอาคารบ้านเรือนสิ่งแวดล้อม ให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ
และภูมิอากาศ เพื่อให้คนอยู่ดี มีสุข นั่นเอง
"ฮวงจุ้ย" เป็นคำ 2 คำ ภาษาจีน อ่านเป็นภาษาแต้จิ๋วว่า "ฮวงจุ้ย" หรืออ่านเป็นภาษาจีนกลางว่า "ฟงสุ่ย"
"ฮวง" หรือ "ฟง " แปลว่า "ลม" หมายถึง "ภูมิอากาศ"
"จุ้ย" หรือ "สุ่ย " แปลว่า "น้ำ" หมายถึง "ภูมิประเทศ"
"ฮวงจุ้ย" ถือกำเนิดในประเทศจีนมานับพันปี โดยได้นำเอาสถิติตัวอย่างของความอยู่ดีมีสุข และ
ความอับโชคให้ทุกข์ต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมาประมวลเป็น ทฤษฎี "ฮวงจุ้ย" แต่ต้องไม่ลืมว่าเป็นภูมิประเทศ
ภูมิอากาศในประเทศจีน ซึ่งทั้งเหมือนและแตกต่างจากในประเทศไทย
ในด้านภูมิประเทศ ในประเทศ จีน-ไทย ไม่ต่างกันมาก เพราะมีน้ำ มีดิน มีที่เนิน มีที่ลุ่ม มีต้นไม้คล้ายกัน
ในด้านภูมิอากาศ ในประเทศจีน-ไทย ถึงแม้จะอยู่ในซีกโลกเหนือเหมือนกันแต่แตกต่างกันมากกว่า เพราะ
ภูมิอากาศส่วนใหญ่ในประเทศจีน อยู่ในเขตอบอุ่น มีฝนตกแต่ไม่มาก หน้าหนาวลมจากทิศเหนือแรงมาก ลมเย็น
จากทิศใต้ จะเป็นหน้าร้อนประเทศไทยอยู่ในเขตของภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน ฝนชุก ลมไม่แรง แต่มีสิ่ง
คล้ายคลึงกับเมืองจีน คือ ทิศทางลมหนาวส่วนใหญ่จะพัดมาจาก ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นลมมรสุม
ตะวันตกเฉียงใต้ในหน้าร้อน
เมื่อเข้าใจถึง "ความเหมือน" และ "ความแตกต่าง" เราจึงต้องเลือกเอาสิ่งที่เหมือน และใช้ได้กับ
เมืองไทยมาใช้ และต้องงดเว้นหรือปรับเปลี่ยน สิ่งที่ไม่เหมาะสมกับเมืองไทยให้เหมาะสม
ตัวอย่าง
1. ประตูหน้าบ้าน
อาจารย์ "ฮวงจุ้ย" หลายคนแนะนำให้ประตูหน้าบ้านในเมืองไทยต้องเปิดออก ตามตำราที่จำและลอก
มาจากจีน ซึ่งไม่ถูก
ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี อย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง เมื่อผมได้มีโอกาสอยู่และเรียนหนังสือในรัฐ ILLNOIS สหรัฐอเมริกา
ซึ่งมีอากาศอบอุ่นคล้ายประเทศจีน หน้าหนาวลมพัดแรงมากจนตัวเกือบปลิว มีหิมะตกแต่ฝนไม่มาก ถ้าเปิด
ประตูหน้าบ้านออกจะเปิดยากมาก ดังนั้น เปิดประตูเข้าไปในบ้านจึงง่ายกว่า โดยเฉพาะเวลาต้องหอบของ
พะรุงพะรังด้วย แต่เมื่อเข้าบ้านแล้ว สามารถใช้ตัวช่วยดันประตูปิดได้ไม่ยาก อนึ่ง ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำฝนที่
เกาะประตูไหลลงพื้นบ้าน แต่ในเมืองไทยซึ่งฝนตกชุก ถ้าเปิดประตูเข้าบ้านในหน้าฝน น้ำฝนที่ค้างอยู่บนบาน
ประตู จะไหลลงพื้นบ้านเปียกเลอะเทอะ
ดังนั้น ที่ถูกต้องและสะดวกต่อการใช้สอย ประตูหน้าบ้านในเมืองไทย จึงควรเปิดออกแทนการเปิดเข้า
แบบในเมืองจีน และเปิดประตูออกก็ไม่ยาก เพราะลมไม่ได้แรงมาก ไม่ว่าจะเปิดหน้าร้อนหรือหน้าหนาวก็ตาม
2. ธรณีประตู
สมัยนี้วิธีการก่อสร้างเปลี่ยนไป ประตูบ้านไม่จำเป็นต้องทำธรณี แต่ผมเห็น อาจารย "ฮวงจุ้ย" หลายคน
แนะนำทางทีวี ให้ทำธรณี เพื่อป้องกันความชั่วร้ายอับโชค ซึ่งยังคงพิสูจน์ไม่ได้ แต่นั่นกำลังทำให้เกิดโอกาสที่
จะสะดุดหกล้มได้ง่าย โดยเฉพาะคนสูงอายุ เมื่อมีอุบัติเหตุหกล้มเพียงครั้งเดียว ก็เท่ากับธรณีกลับเป็นตัวนำ
ความโชคร้ายมาสู่บ้านอย่างชัดเจน
3. ที่ดินงอก-ที่น้ำเซาะ
ตัวอย่างของการตั้งเมืองหลวงกรุงธนบุรีบนฝั่งน้ำเซาะ กรุงธนบุรีก็อยู่ได้เพียง 15 ปี ก็สิ้นราชวงศ์ แต่
กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บนฝั่งดินงอก ประเทศก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ อยู่มาได้กว่า 200 ปี แล้ว
บ้านเรือนคนทั่วไป ที่ตั้งอยู่ในฝั่งน้ำเซาะ ตอ้ งเสียเงินเสียทองทำเขื่อนที่แข็งแรงมากถึงจะไม่เสียที่ดินถูกน้ำ
เซาะหายไป แต่ฝั่งดินงอกกลับได้ที่ดินเพิ่มพร้อมทั้งกระแสนน้ำจะพัดพาเอาปุ๋ยมาเพิ่มให้กับดินด้วย
4. หลบแดด-รับลม หน้าน้ำ-หลังเขา
ตัวอย่างพื้นฐานการวางอาคารบ้านตามหลัก " ฮวงจุ้ย" คือ การวางอาคารหลบแดดรับลม โดยเอาด้าน
ยาวของอาคารหันรับลมจากทิศใต้ ด้านแคบของอาคารหันไปทางทิศตะวันออก-ตก (ไม่ขวางตะวัน)
โดยเฉพาะถ้ามี บ่อน้ำ,สระน้ำ,แม่น้ำ,ทะเล อยู่ด้านหน้าก็จะยิ่งดี เพราะน้ำเมื่อระเหยทำอุณหภูมิลดต่ำลง จะ
เกิดลมเย็นพัดเข้ามายังบ้านในหน้าร้อน และยังทำให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงามอีกด้วย หลังบ้าน ถ้ามีเขาหรืออาคาร
ที่สูงใหญ่กว่า ก็จะบังลมหนาวที่พัดมาจากด้านหลังซึ่งเป็นทิศเหนือไดด้ ี
5. ทางสามแพร่ง
อาคารสาธารณะจำนวนมากทั่วโลก เช่น รัฐสภา อาคารที่ว่าการรัฐฯ ตั้งตรงทางสามแพร่ง ซึ่งเป็นการวาง
ผังที่งามสง่าเห็นชัดและเน้นความสำคัญของอาคาร แต่ตำแหน่งที่ดีของอาคารควรตั้งอยู่บนเนินเขาที่เลย
ระดับแสงไฟรถส่องเข้ามารบกวนคนที่อยู่ภายใน และเมื่อรถวิ่งเข้ามาใกล้ ถนนควรจะเปลี่ยนรูปเป็นวงเวียน ให้
รถเลี้ยวซ้าย/ขวา แยกย้ายออกไปสำหรับบ้านส่วนตัวหลังไม่ใหญ่ และตั้งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับถนนหน้าบ้าน
ที่รถวิ่งเข้ามาหาตัวบ้าน แสงไฟรถย่อมส่องเข้ามารบกวนได้ และทำให้เกิดความรู้สึกเสียวไม่ปลอดภัย
เหมือนรถจะวิ่งพุ่งเข้ามาชนบ้าน
แต่กรณีทีความจำเป็นต้องอยู่ในลักษณะดังกล่าว ก็แก้ไขได้โดยย้ายประตูรั้วหรือประตูบ้านไม่ให้ตรงกับ
ถนน และปลูกต้นไม้หนาทึบบัง เป็นต้น
จากตัวอย่างต่าง ๆ ข้างต้นจะเห็นได้ว่าทฤษฎี "ฮวงจุ้ย" ส่วนใหญ่ยังใช้ได้กับเมืองไทยและถูกต้องตรง
กับหลักวิชาการวางผัง และออกแบบสถาปัตยกรรม เพียงแต่ต้องเลือกเชื่อเลือกใช้ให้เหมาะสม ให้เป็นไปใน
แนวทางที่ถูกต้องเท่านั้น ก็จะทำให้คน "อยู่ดีมีสุข" อย่างแท้จริง
ต่อเติมไม่ศึกษา ผิดกฎหมายได้
การต่อเติมอาคารบ้านพักอาศัย หากมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตามใจชอบโดยไม่ศึกษาข้อกฎหมายให้ดี อาจมีความผิด และอาจต้องรับโทษได้
เช่น หลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายแต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อ การต่อเติมอาคารด้านหลังที่เว้นไว้ 4 เมตร จนเต็มพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารนั้น กำหนดให้ผู้ที่จะก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน หรือให้แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นพร้อมทั้งดำเนินการตามมาตรา 39 ทวิ ก็เป็นอันใช้ได้
ส่วนการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการดัดแปลงอาคารหรือ ไม่ กฎหมายกำหนดว่าการกระทำดังต่อไปนี้ (ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11) ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร เช่น
การเปลี่ยนโครงสร้างของอาคารโดยใช้ วัสดุขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม เว้นแต่การเปลี่ยนโครงสร้างของอาคารที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก คอนกรีตอัดแรง หรือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
การเปลี่ยนส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร โดยใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิมหรือวัสดุชนิดอื่น ซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมส่วนหนึ่งส่วนใดเกิน ร้อยละสิบ
การเปลี่ยนแปลง การต่อเติม การเพิ่ม การลด หรือการขยายซึ่งลักษณะขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ำหนัก เนื้อที่ส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร ซึ่งไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับโครงสร้างของอาคารเดิมส่วนหนึ่งส่วนใดเกิน ร้อยละสิบ
การลดหรือขยายเนื้อที่ของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งให้มี เนื้อที่น้อยลงหรือมากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน
การลดหรือการขยายเนื้อที่ของหลังคาให้มีเนื้อที่มากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน..
ดัง นั้น จากข้อเท็จจริงจะพบว่าการต่อเติมดังกล่าว เป็นการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
นอกจากต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดระยะเวลาที่ยังคง ฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา 65 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522) ซึ่งผู้ต่อเติม (ผู้จะซื้อ) น่าจะเป็นฝ่ายผิด เว้นแต่จะมีหลักฐานที่แสดงว่าฝ่ายผู้จะขายได้ให้ยินยอม (ให้ผู้จะซื้อทำการต่อเติมแทน) ในระหว่างที่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
Cr. CMC
บ้านเดี่ยว หรือ คอนโด ดีกว่ากัน
จะเลือกซื้อทั้งที หลายคนยังเลือกไม่ถูกระหว่างบ้านเดี่ยวกับคอนโดฯ ลองมาดูสถิติจาก REIC ว่า คนเดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่สนใจบ้านแบบไหน
REIC สรุปยอดผู้เข้าชมและลงทะเบียนในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 24 เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สาระสำคัญมีคนพักอาศัยในบ้านเดี่ยวมาเยี่ยมชมงานสูงสุด 35% โดยภาพรวมทั้งงาน ผู้ตอบแบบสอบถามต้องการซื้อบ้านเดี่ยวสูงสุด 44% รองลงมาคือคอนโด 29%
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) กล่าวว่า REIC ได้ให้บริการลงทะเบียนผู้เข้าชมงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 24 ซึ่ง 3 สมาคม หลักด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมกันจัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในระหว่างวันที่ 10-13 มีนาคม 2554 โดยได้วิเคราะห์เชิงลึก ดังนี้
1.ข้อมูลทั่วไป ร้อยละ 59 ของผู้ลงทะเบียนเข้าชมงาน เป็นกลุ่มซึ่งไม่เคยเข้าชมมาก่อน โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 56 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 44 เป็นเพศชาย ผู้ที่แสดงสถานะว่าเป็นโสดมีมากถึงร้อยละ 70 แสดงสถานะว่าแต่งงานแล้วมีร้อยละ 30 อายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 35 ปี โดยกลุ่มอายุ 21-30 ปีมีมากที่สุด คือร้อยละ 31 ของทั้งหมด และกลุ่มอายุ 31-40 ปีมีร้อยละ 23 ส่วนใหญ่ร้อยละ 55 มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน รองลงเป็นเจ้าของกิจการ มีร้อยละ 15 อาชีพรับราชการร้อยละ 9 พนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 5 ที่เหลือมีอาชีพอื่นๆหรือเป็นนิสิตนักศึกษา ด้านรายได้ของครอบครัวต่อเดือน พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 32 มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท และอีกร้อยละ 29 มีรายได้ 30,001-50,000 บาท รวมประมาณร้อยละ 61 มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน
2.สถานะของบ้านที่อยู่อาศัยใน ปัจจุบัน ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่ คือร้อยละ 70 มีที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร รองลงมา คือ นนทบุรีร้อยละ 6 หากรวมกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑลจะมีประมาณร้อยละ 85
ลักษณะที่ อยู่อาศัย ร้อยละ 35 เป็นบ้านเดี่ยว ร้อยละ 18 เป็นทาวน์เฮ้าส์ และร้อยละ 14 เป็นคอนโดมิเนียม อนึ่ง น่าสังเกตว่า มีผู้ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นต์หรือหอพักมากถึงร้อยละ 17 ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาจมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง
จำนวนผู้อยู่ อาศัยในบ้านร้อยละ 60 อยู่ประมาณ 2-4 คน โดยร้อยละ 23 มีผู้อยู่อาศัย 2 คน ร้อยละ 16 มีผู้อยู่อาศัย 3 คน และร้อยละ 21 มีผู้อยู่อาศัย 4 คน ส่วนมากร้อยละ 43 อาศัยอยู่ในบ้านปัจจุบันมาแล้วนานกว่า 10 ปี และร้อยละ 31 อยู่มาไม่เกิน 3 ปี อีกร้อยละ 18 อยู่ประมาณ 4-6 ปี
3.บ้านที่ต้อง การซื้อในอนาคต พบว่า ประมาณร้อยละ 44 ต้องการซื้อบ้านเดี่ยว อีกร้อยละ 29 ต้องการซื้คอนโดมิเนียม และร้อยละ 18 ต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์ ทั้งนี้ ร้อยละ 42 มีงบประมาณซื้อบ้านระดับ 1.1-2 ล้านบาท และร้อยละ 24 มีงบประมาณ 2.1-3 ล้านบาท
เงินก้อนหลักที่ใช้ซื้อบ้านประมาณร้อยละ 78 มาจากการขอกู้เงินสถาบันการเงิน ขณะที่ร้อยละ 21 ใช้เงินออมส่วนตัวเป็นหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ขอกู้สถาบันการเงิน ทั้งนี้ ร้อยละ 44 มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท และอีกร้อยละ 38 มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนระหว่าง 10,001-20,000 บาท
ร้อยละ 38 ตั้งใจจะซื้อบ้านภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ร้อยละ 21 ต้องการซื้อในระยะเวลาประมาณ 7-12 เดือนข้างหน้า และร้อยละ 28 ต้องการซื้อในระยะเวลาประมาณ 1-2 ปีข้างหน้า จำนวนผู้อยู่อาศัยในบ้านที่จะซื้อ ส่วนใหญ่คือร้อยละ 74 อยู่ที่ประมาณ 2-4 คน โดยร้อยละ 31 มีผู้อยู่อาศัย 2 คน ร้อยละ 21 มีผู้อยู่อาศัย 3 คน และร้อยละ 22 มีผู้อยู่อาศัย 4 คน แสดงว่ามีความต้องการแยกออกมาจากครอบครัวใหญ่
ทำเลที่ผู้เข้าชมงานมี ความต้องการซื้อมากที่สุด คือ เขตกรุงเทพมหานคร ประมาณร้อยละ 70 (สอดคล้องกับทำเลบ้านในปจจุบัน) รองลงไปคือนนทบุรีประมาณร้อยละ 11.5 ขณะที่ปทุมธานีและสมุทรปราการมีประมาณร้อยละ 3.5 เท่ากัน
โดยร้อยละ 36 ให้เหตุผลในการจะซื้อบ้านว่าต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า และร้อยละ 30 ให้เหตุผลว่า ต้องการซื้อบ้านใกล้ที่ทำงาน และมีมากถึงร้อยละ 20 ที่ต้องการซื้อบ้านใกล้ห้างสรรพสินค้า
ส่วนสาเหตุหลักที่ต้องการ ซื้อบ้านนั้น ร้อยละ 34 ต้องการซื้อเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ร้อยละ 18 ต้องการซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สิน และร้อยละ 16 ต้องการความสะดวกในการเดินทาง
Cr. CMC
เริ่มต้นกู้เงินซื้อบ้าน ต้องทำอย่างไร
ขั้นตอนการกู้เงินซื้อบ้านสำหรับมือใหม่ ทั้งการเตรียมหลักฐานและติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขออนุมัติเงินกู้
ติดต่อฝ่ายสินเชื่อบ้านกับธนาคารการ ขอกู้เงินกับสถาบันการเงินเริ่มจากติดต่อกับฝ่ายสินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อเคหะของธนาคาร เพื่อแสดงความจำนงขอกู้ พร้อมทั้งนำหลักฐานยื่นประกอบการขอกู้โดยครบถ้วน
เอกสารต่าง ๆ เตรียมให้ครบถ้วนหาก ในวันยื่นกู้เอกสารหลักฐานยื่นประกอบการขอกู้โดยครบถ้วน ซึ่งหากในวันยื่นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ไม่ครบจะทำให้ผู้กู้ต้องนำเอกสารมาให้หรือมายื่นกู้ใหม่ในภายหลังและอาจทำ ให้การวิเคราะห์อนุมัติล่าช้าออกไป หลังจากยื่นกู้แล้วจะต้องชำระค่าธรรมเนียมในการประเมินราคาหลักประกัน
สำรวจและประเมินราคาเมื่อ ยื่นกู้แล้ว ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะส่งเจ้าหน้าที่สำรวจและประเมินราคาบ้านและที่ดิน ที่จะนำมาจำนองเป็นหลักประกันโดยทั้วไปใช้แวลาประมาณ 2-7 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงิน
วิเคราะห์รายได้ ฐานะทางการเงินธนาคาร และสถาบันการเงินจะพิจารณาคำขอกู้โดยจะทำการวิเคราะห์รายได้ ฐานะทางการเงิน ความสามารถในการผ่อนชำระ และหลักประกันของผู้กู้รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ และจะแจ้งผลการขอกู้ให้ผู้กู้ทราบ โดยปกติทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงิน
ลงนามในสัญญาเมื่อได้รับอนุมัติกู้แล้ว ผู้กู้จะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อมาลงนามในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง พร้อมทั้งนัดวันไปทำนิติกรรมจำนองที่สำนักงานที่ดิน
ติดต่อสำนักงานที่ดินในวันโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองที่สำนักงานที่ดินผู้กู้ ผู้ขาย และเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินจะไปพร้อมกันที่สำนักงานที่ดินที่หลักทรัพย์ ดั้งอยู่ ทั้งนี้ ผู้กู้จะต้องเตรียมเงินเป็นค่าจดทะเบียนจำนองตามปกติร้อยละ 1 ของวงเงินกู้และจะต้องชำระค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิมธิ์ตามปกติร้อยละ 2 ของราคาประเมินของกรมที่ดิน ซึ้งโดยทั่วไปผู้ขายมักจะเป็นผู้จ่ายเว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น
รับเงินเป็นแคชเชียร์เช็คเมื่อ ทุกขั้นตอนเรียบร้อยเจ้าหน้าที่จะจ่ายเงินกู้ให้ผู้กู้เป็นแคชเชียร์เช็ค เพื่อให้ผู้กู้จ่ายเงินคงเหลือให้กับเจ้าของโครงการ หรือผู้ขายต่อไป เมื่อผู้กู้ได้รับเงินกู้แล้ว ผู้กู้ก็จะต้องมีภาระในการผ่อนชำระงวดทุกเดือนภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญา
ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับการขอสินเขื่อ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการยื่นขอสินเชื่อ ค่าประเมินมูลค่าหลักประกัน ค่าธรรมเนียมจำนองของสำนักงานที่ดิน ค่าประกันอัคคีภัย ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนจำนองก่อนกำหนด
Cr. CMC
งบประมาณกับการซื้อบ้านใหม่
ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน คุณควรมีงบประมาณสักเท่าใดจึงจะเพียงพอ ลองมาดูคำแนะนำของกูรูเพื่อเตรียมพร้อมไว้ก่อน
งบประมาณในการซื้อบ้านใหม่โดยประมาณ คือ ควรอยู่ที่ 3 เท่าของรายได้ต่อปี ค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ นอกเหนือจากงบประมาณของ บ้านและที่ดิน ค่าตกแต่งภายในบ้าน โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 35% ของราคาบ้าน ค่าติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในบ้าน เช่น ปั๊มป์น้ำ แท้งค์ น้ำ เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ค่าจัดสวน หรือต่อเติมต่างๆเช่น มุ้งลวด เหล็กดัด กันสาด ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ คุณจำเป็นต้อง สำรองเงินสด สำหรับใช้จ่ายเมื่อรับ โอนบ้านเรียบร้อยแล้ว
งบประมาณของบ้านที่จะซื้อ คุณต้องตั้งงบประมาณของบ้านที่จะซื้อก่อน จะได้ง่ายต่อการเลือกข้อมูลเพื่อพิจารณา ได้อย่างถูกต้อง หลักเกณฑ์ในการตั้งงบประมาณก็ง่ายๆตามนี้ งบของบ้านที่จะซื้อ ควรอยู่ที่ 3 เท่า ของรายได้ต่อปีของคุณ และความสามารถในการผ่อนชำระ ค่าบ้านกับ ธนาคารต่อเดือนจะอยู่ที่ ประมาณ 30% ของรายได้ต่อเดือน ไม่รวมผ่อนรถ และอื่นๆ
นอกจากนี้ ควรสอบถามค่าสาธารณูปโภคของโครงการที่คุณจะซื้อก่อน ว่าครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น ค่าบริการ เก็บขยะ ค่าน้ำ-ไฟส่วนกลาง (ไฟถนน,ซอย,ทางเดินใน โครงการ ,ลิฟท์ ฯลฯ) ค่าดูแล สวนส่วนกลาง ค่ายาม รักษาการณ์ เป็นต้น
Cr. CMC
กู้เงินซื้อบ้าน สูงสุดเท่าไหร่
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดจะกู้เงินซื้อบ้าน แต่ยังไม่แน่ใจว่า จะกู้เงินได้เพียงพอกับราคาบ้านหรือไม่ ลองมาดูวิธีคำนวณเงินกู้ ก่อนตัดสินใจไปธนาคาร
โดยปกติสัดส่วนการขอสินเชื่อบ้านจะ อยู่ที่ดาวน์ 20% และกู้หรือขอสินเชื่อรายย่อยจากสถาบันการเงินได้ 80% แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ที่เงินล้นธนาคาร ก็อาจเพิ่มสัดส่วนให้เป็นดาวน์ 10% และกู้ 90% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในเวลานั้นด้วย
อย่าง ไรก็ตาม เปอร์เซ็นต์นี้จะคิดจากราคาประเมินโครงการของธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะต่ำกว่าราคาที่ผู้ขายกาหนดนิดหน่อย นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการกาหนดอัตราเงินกู้ที่อยู่อาศัยไว้อยู่แล้วด้วย เช่น บ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ต้องใช้สัดส่วนดาวน์ 30% และขอสินเชื่อ 70% เป็นต้น
ถ้ารายได้ดีก็ขอสินเชื่อรายย่อยได้เต็มวงเงินที่ขอหรือสูง สุดของที่ธนาคารจะอนุมัติสาหรับที่อยู่อาศัยนั้น แต่ถ้ารายได้ของผู้กู้ไม่ถึงแบงก์ก็จะปล่อยกู้ตามที่เห็นสมควรโดยอ้างอิงจาก เอกสารแสดงฐานะทางการเงินที่ลูกค้ายื่นไปให้พิจารณา
การคำนวณความ สามารถของผู้ซื้อว่าจะขอสินเชื่อรายย่อยได้วงเงินสูงสุดเท่าไร รวมถึงระยะเวลายาวนานที่สุดที่จะขอกู้นั้น ธนาคารจะมีสูตรสาเร็จในการคำนวณอยู่ เริ่มจากคำนวณรายได้รวมต่อเดือน ถ้ามีคู่สมรสหรือผู้กู้ร่วมก็ให้คิดรวมทั้งหมด เช่น ออกมาได้เท่ากับ 120,000 บาทต่อเดือน ให้นาตัวเลขนั้นไปหาร 3 เหลือ 40,000 บาท
จาก นั้นก็ดูว่า จะกู้ได้นานที่สุดกี่ปี แต่ละธนาคารอาจมีความยืดหยุ่นแตกต่างกัน เช่น พนักงานบริษัทมีรายได้หลักเป็นเงินเดือนประจำจะให้กู้สูงสุดถึงอายุ 60 ปี ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจอาจให้กู้สูงสุดได้ถึงอายุ 65 ปีซึ่งเอกสารแสดงรายได้ก็จะแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะจากัดที่อายุ 60 ปีนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น ผู้จะขอกู้เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ปัจจุบันมีอายุ 27 ปี ก็คือกู้ได้สูงสุด 33 ปี ธนาคารจะตัดที่ 30 ปี จึงหมายความว่าคนอายุยิ่งมาก ระยะเวลาที่จะเหลือกู้ได้ยาวนานก็ยิ่งลดน้อยลง และผู้ขอกู้อายุยังน้อยรายนี้ยังสามารถเลือกที่จะขอกู้ในระยะเวลาที่น้อย กว่า 30 ปีก็ได้
จากนั้นธนาคารจะมีตัวเลขคงที่กาหนดไว้สาหรับอายุแต่ ละช่วงปี เช่น กู้ได้ 30 ปี ก็ให้หารด้วยตัวเลขที่กาหนดไว้สาหรับการกู้ 30 ปี คือ 7,200 ได้ตัวเลขออกมาเป็นเท่าไร นั่นคือหลักล้านบาทที่จะสามารถกู้ได้ กรณีนี้เอา 40,000 บาทหารด้วย 7,200 ออกมาเท่ากับ 5.56 ก็คือ 5,560,000 บาท เป็นวงเงินสูงสุดที่จะสามารถกู้ได้อ้างอิงจากฐานรายได้ของผู้ยื่นกู้รายนี้
เมื่อ ได้วงเงินที่ธนาคารอนุมัติแล้ว ลูกค้ามักจะถามต่อว่าแล้วเดือนหนึ่งจะมีภาระค่างวดเท่าไร ตัวเลขจะออกมาเป็นกี่บาทกี่สตางค์ ซึ่งธนาคารจะมีตัวเลขกาหนดไว้สาหรับการคานวณอยู่เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยปีแรกที่ธนาคารอนุมัติคือ 4.25% กู้เต็มที่ 30 ปี ก็คูณด้วยตัวเลข 0.0049193 ได้อัตราผ่อนต่อเดือนคือ 27,351 บาทโดยประมาณ ทั้งนี้ เพราะในทางปฏิบัติถึงเวลาผ่อนชาระจริงๆ ตัวเลขที่แบงก์คิดค่างวดออกมามักจะบวกมาเกินกว่านั้นนิดหน่อย เพราะธนาคารต้องประกันความเสี่ยงให้กับตัวเองด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่ารวมแล้วลูกค้าจะต้องจ่ายแพงกว่าที่ตกลงกัน เพราะถึงเวลาจริงๆ ยื่นกู้ไว้ 30 ปี ผ่อนจริงๆ 25-27 ปี ก็อาจจะหมดหนี้เป็นไทแล้วก็ได้
ตัวอย่างทั้งหมดนี้ เป็นการคำนวณจากฐานรายได้แต่ละเดือนเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วในการพิจารณาขอสินเชื่อรายย่อย แบงก์ก็อาจพิจารณาเพิ่มเติมจากองค์ประกอบอื่นด้วย ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งคะแนนบวกหรือลบ เช่น หนี้สินเดิม ทรัพย์สินซึ่งถ้าเป็นทรัพย์สินที่ยังไม่ปลอดภาระก็กลายเป็นคะแนนลบ แต่ถ้าปลอดภาระแล้วก็กลายเป็นบวก แต่สิ่งสาคัญที่สุดคือเงินออม ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี
CR. CMC
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ของใกล้ตัว...ช่วยแก้ฮวงจุ้ย
"ของใกล้ตัว...ช่วยแก้ฮวงจุ้ย"
By. http://www.cmc.co.th
คอนโด เว็บคอนโด ขายคอนโด คอนโดใหม่
ปัจจุบัน ศาสตร์และความเชื่อมีผลต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบันของคนไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากเท่าไหร่ ศาสตร์และความเชื่อก็ยังคงอยู่คู่กับคนไทยเสมอมา ไม่ว่าจะเป็น งานบวช งานแต่ง ออกรถใหม่ ล้วนแล้วแต่ต้องหา วัน เวลา ที่เป็นมงคลตามความเชื่อ หรือแม้กระทั้ง "สี วัตถุ สิ่งของ" ก็ยังถือเป็นเครื่องยึดเนี่ยวจิตใจ แก้เคล็ด เสริมบารมี อำนาจ เพิ่มจุดเด่น ลบจุดด้อย ได้สำหรับบางคนที่มีความเชื่อ และศรัทรา ก็ว่ากันไปค่ะทำแล้วไม่เสียหาย สบายใจก็ไม่มีใครว่าอะไร ผู้เขียนเองก็มีความเชื่อสิ่งเหล่านี้เช่นกันจึงอยาก "แชร์" บอกต่อให้สำหรับท่านที่สนใจด้วยการนำสิ่งของใกล้ตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์กัน ดีกว่า

" วัตถุมันวาว " เช่น กระจก ลูกแก้ว กระถางแก้ว ฯลฯ เชื่อกันว่าวัตถุมันวาวจะช่วนสะท้องสิ่งชัวร้ายให้พ้นไป และช่วยพิ่มพลัง อำนาจ ทั้งในด้านดีและร้าย อาจจะแบ่งประเภทของกระจกออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
กระจกเงา นิยมใช้เพื่อเสริมพลัง เช่น ติตั้งในร้านอาหารหรือภัตตาคารต่างๆ ช่วยทำให้ห้องอาหารดูกว้างมากขึ้น และเห็นลูกค้าเพิ่มเป็นสองเท่า แต่ไม่แนะนำให้ติดไว้หน้าบ้านเพราะอาจเกิดการทะเลาะ ขัดใจ และเกิดการเจ็บป่วยได้
กระจกนูน เป็นความเชื่อเพื่อป้องกันมิให้ของบางสิ่งพุงเข้ามาหาเราโดยตรง เช่น บ้านเราอยู่ตรงข้ามกับบ้านร้าง สุสาน หรือสถานที่ไม่ดี กระจกนูนจะช่วยสลายพลังของสิ่งชั่วร้ายได้
กระจกเว้า มี คุณสมบัติเด่นช่วยดูดพลังเข้าหาตัวเร ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมนำมาใช้งานมากนักนอกจากนำมาแก้ฮวงจุ้ยเท่านั้น เพราะมีข้อเสียคือ อาจดูดพลังที่ไม่พึงประสงค์เข้าหาเราด้วย

"กระดิ่งลม หรือ กังสดาล" ศาสตร์ ทางฮวงจุ้ยได้แบ่งกระดิ่งลม หรือ กังสดาล ออกเป็น 2 ประเภท คือ กระดิ่งลมที่ใช้สำหรับต่อต้าน หักล้าง หรือทำลาย นิยมนำมาแขวนไว้ในจุดอับหรือ ในทิศอัปมงคล และส่วนอีกประเภทให้สำหรับหนุนนำ ส่งเสริม เพิ่มพลัง สามารถแขวนได้ทุกจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนำไปแขวนไว้ที่ฝ้าเพดานเหนือประตูทางเข้า บ้าน อาคาร เพราะเมื่อเปิดประตูจะทำให้เกิดเสียงดัง และรู้ได้ว่ามีคนกำลังเปิดประตูเข้ามาในบ้าน
"ปลูกไม้มงคล" ตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อกันว่าการวางต้นไม้ไว้สองข้างของประตูทางเข้า จะช่วยดึงดูดพลังงานที่ดีเข้ามาในบ้าน เช่น
"ต้นไผ่" หมายถึง แทนความยั่งยืน คงทน เชื่อกันว่าเวลาที่ต้นไผ่สีกันจะมีเสียงดังทำให้สิ่งไม่ดีเกรงกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้
"ต้นส้ม" หมายถึง ความโชคดี ความเจริญรุ่งเรือง
"ต้นทับทิม" หมายถึง การได้บุตรหลานที่ดี กตัญญูไว้สืบตระกูลมากมาย
"ต้นกุหลาบ และ โป๊ยเซียน" มีความเชื่อว่าจะช่วยให้ปัญญหา และสิ่งที่เกิดจากหนัก ให้กลายเป็นเบา
ลอง นำไอเดียเหล่านี้ไปปรับใช้ดูกันนะค่ะ นอกจากจะช่วยแก้สิ่งไม่ดีแล้ว คุณยังได้สนุกกับการแต่งบ้าน แล้วคุณจะพบว่าศาสตร์ฮวงจุ้ยไม่ใช่เรื่องเรื่องงมงาย และสามารถเข้าใจง่ายกว่าที่คิด
โดย : กระดังงา
By. http://www.cmc.co.th
คอนโด เว็บคอนโด ขายคอนโด คอนโดใหม่
ปัจจุบัน ศาสตร์และความเชื่อมีผลต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบันของคนไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากเท่าไหร่ ศาสตร์และความเชื่อก็ยังคงอยู่คู่กับคนไทยเสมอมา ไม่ว่าจะเป็น งานบวช งานแต่ง ออกรถใหม่ ล้วนแล้วแต่ต้องหา วัน เวลา ที่เป็นมงคลตามความเชื่อ หรือแม้กระทั้ง "สี วัตถุ สิ่งของ" ก็ยังถือเป็นเครื่องยึดเนี่ยวจิตใจ แก้เคล็ด เสริมบารมี อำนาจ เพิ่มจุดเด่น ลบจุดด้อย ได้สำหรับบางคนที่มีความเชื่อ และศรัทรา ก็ว่ากันไปค่ะทำแล้วไม่เสียหาย สบายใจก็ไม่มีใครว่าอะไร ผู้เขียนเองก็มีความเชื่อสิ่งเหล่านี้เช่นกันจึงอยาก "แชร์" บอกต่อให้สำหรับท่านที่สนใจด้วยการนำสิ่งของใกล้ตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์กัน ดีกว่า


" วัตถุมันวาว " เช่น กระจก ลูกแก้ว กระถางแก้ว ฯลฯ เชื่อกันว่าวัตถุมันวาวจะช่วนสะท้องสิ่งชัวร้ายให้พ้นไป และช่วยพิ่มพลัง อำนาจ ทั้งในด้านดีและร้าย อาจจะแบ่งประเภทของกระจกออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
กระจกเงา นิยมใช้เพื่อเสริมพลัง เช่น ติตั้งในร้านอาหารหรือภัตตาคารต่างๆ ช่วยทำให้ห้องอาหารดูกว้างมากขึ้น และเห็นลูกค้าเพิ่มเป็นสองเท่า แต่ไม่แนะนำให้ติดไว้หน้าบ้านเพราะอาจเกิดการทะเลาะ ขัดใจ และเกิดการเจ็บป่วยได้
กระจกนูน เป็นความเชื่อเพื่อป้องกันมิให้ของบางสิ่งพุงเข้ามาหาเราโดยตรง เช่น บ้านเราอยู่ตรงข้ามกับบ้านร้าง สุสาน หรือสถานที่ไม่ดี กระจกนูนจะช่วยสลายพลังของสิ่งชั่วร้ายได้
กระจกเว้า มี คุณสมบัติเด่นช่วยดูดพลังเข้าหาตัวเร ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมนำมาใช้งานมากนักนอกจากนำมาแก้ฮวงจุ้ยเท่านั้น เพราะมีข้อเสียคือ อาจดูดพลังที่ไม่พึงประสงค์เข้าหาเราด้วย

"กระดิ่งลม หรือ กังสดาล" ศาสตร์ ทางฮวงจุ้ยได้แบ่งกระดิ่งลม หรือ กังสดาล ออกเป็น 2 ประเภท คือ กระดิ่งลมที่ใช้สำหรับต่อต้าน หักล้าง หรือทำลาย นิยมนำมาแขวนไว้ในจุดอับหรือ ในทิศอัปมงคล และส่วนอีกประเภทให้สำหรับหนุนนำ ส่งเสริม เพิ่มพลัง สามารถแขวนได้ทุกจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนำไปแขวนไว้ที่ฝ้าเพดานเหนือประตูทางเข้า บ้าน อาคาร เพราะเมื่อเปิดประตูจะทำให้เกิดเสียงดัง และรู้ได้ว่ามีคนกำลังเปิดประตูเข้ามาในบ้าน
"ปลูกไม้มงคล" ตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อกันว่าการวางต้นไม้ไว้สองข้างของประตูทางเข้า จะช่วยดึงดูดพลังงานที่ดีเข้ามาในบ้าน เช่น





ลอง นำไอเดียเหล่านี้ไปปรับใช้ดูกันนะค่ะ นอกจากจะช่วยแก้สิ่งไม่ดีแล้ว คุณยังได้สนุกกับการแต่งบ้าน แล้วคุณจะพบว่าศาสตร์ฮวงจุ้ยไม่ใช่เรื่องเรื่องงมงาย และสามารถเข้าใจง่ายกว่าที่คิด
โดย : กระดังงา
สีผ้าม่านถูกโฉลก...เสริมพลังรัก
By. http://www.cmc.co.th
คอนโด เว็บคอนโด ขายคอนโด คอนโดใหม่
หลายคนให้ความสำคัญกับเรื่องของ "สี " ในการตัดสินใจเลือกอะไรบางอย่าง เมื่อเรื่องของสี มีส่วนสำคัญขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นหลักสำคัญทางด้านฮวงจุ้ย หรือด้านใดก็ตาม คุณควรเลือกสีที่ถูกโฉลกกับตัวคุณเพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้คุณประสบ ความสำเร็จในสิ่งๆ นั้น ส่วนสำหรับเรื่องของความรักแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องของสีเป็นหลัก ซึ่งหากภายในห้องนอน หรือคอนโดของคุณมีสีที่เป็นอุปสรรค หรือไม่ถูกโฉลกกับดวงของคุณมันก็จะส่งผลเสีย ทำให้คุณหงุดหงิดไม่สบายใจ หรือหากคุณเลือกใช้ ผ้าม่าน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ที่มีสีถูกโฉลกกับตัวคุณมาใช้ มันก็จะส่งผลดีให้กับตัวคุณ และสิ่งสำคัญในการเลือกสีให้เหมาะกับดวงของคุณคือ ควรเลือกสีประจำวันเกิดที่ถูกโฉลกกับตัวเอง คุณเกิดในวันอะไร สีที่เหมาะคือสีใดถึงจะเป็นมงคลกับตัวคุณเองเรามาดูกันดีกว่าว่าวันเกิดของ คุณจะถูกโฉลกกับสีใด
วันจันทร์ สีมงคลคือ สีน้ำเงิน และ สีฟ้า
สีที่ควรเลี่ยงคือ สีแดง
วันอังคาร สีมงคลคือ สีแดง
สีที่ควรเลี่ยงคือ สีเหลือง สีขาว

( ขอบคุณภาพจากคอนโด : โครงการแบงค์คอก ฮอไรซอน เพชรเกษม )
สีที่ควรเลี่ยงคือ สีชมพู

( ขอบคุณภาพจากคอนโด : โครงการแบงค์คอก ฮอไรซอน รัชดา-ท่าพระ )
วันพุธ (กลางคืน) สีมงคลคือ สีม่วง
สีที่ควรเลี่ยงคือ สีชมพู

( ขอบคุณภาพจากคอนโด : โครงการแบงค์คอก ฮอไรซอน รามคำแหง )
วันพฤหัส สีมงคลคือ สีเขียวอ่อน
สีที่ควรเลี่ยงคือ สีม่วง

( ขอบคุณภาพจากคอนโด : โครงการชาโตว์ อินทาวน์ รัชดา 10 )
วันศุกร์ สีมงคลคือ สีโอรส และ สีส้ม
สีที่ควรเลี่ยงคือ สีดำ

( ขอบคุณภาพจากคอนโด : โครงการชาโตว์ อินทาวน์ รัชดา 20-2 )
วันเสาร์ สีมงคลคือ สีชมพู
สีที่ควรเลี่ยงคือ สีเขียว

( ขอบคุณภาพจาก : โครงการคาซ่า ดีว่า สาทร – กัลปพฤกษ์ )
วันอาทิตย์ สีมงคลคือ สีเทา และ สีดำ
สีที่ควรเลี่ยงคือ สีน้ำเงิน

( ขอบคุณภาพจากคอนโด : โครงการแบงค์คอก เฟ'ลิซ สุขุมวิท 69-2 )
เรียบเรียงโดย : กระดังงา
เลือกสีห้องนอน ประจำวันเกิด
(ขอบคุณภาพจาก โครงการ Chateau in Town สุขุมวิท 62/1 )
คอนโด เว็บคอนโด ขายคอนโด คอนโดใหม่
ปัจจุบัน
หนุ่มสาวยุคใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ แข่งกับเวลา
ใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงานเป็นส่วนใหญ่ ออกจากบ้านก็เช้า
กว่าจะกลับบ้านตลาดก็วายกันพอดี ( ผู้เขียนหมายถึงกลับบ้านดึกนะคะ )
บ้างครั้งทำงานก็ไม่ได้ดั่งใจเอาซะเลย มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา เรา
จะได้พักผ่อนทีก็วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือไม่ก็หยุดประจำเทศกาล
แต่ถึงแม้ว่าเราจะทำงานกันหนักหนาขนาดไหน บ้าน หรือห้องนอน
ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เรามองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว
เมื่อคุณกลับจากที่ทำงานฟ่าฟันกับรถติด มาถึงห้องพักได้เห็นสีสันสบาย สบาย
ภายในห้องของคุณก็ทำให้ผ่อนคลายได้เช่นกัน ผู้เขียนมีวิธีการเลือกทาสีบ้าน
หรือ ห้องนอน ให้เมาะสมกับผู้พักอาศัย ช่วยเสริมบารมี พลังอำนาจ
ให้กับผู้พักอาศัยให้คุณได้ผ่อนคลาย
ตื่นมาตอนเช้าเริ่มวันใหม่อย่างสดชื่นพร้อมที่จะลุยกับงานกันอีกครั้งค่ะ

( ขอบคุณภาพจาก โครงการ แบงค์คอก ฮอไรซอน เลซี่ )
ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ถึงแม้ว่าสีแดงจะเป็นสีที่ถูกโฉลกกับคนที่เกิดวันอาทิต์ แต่จะมีใครบ้างเลือกทาบ้านเป็นสีแดงสด เพราะความจริงแล้วสีที่ถูกโฉลกของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์นั้น ห้ามนำมาทาสีห้องนอนเป็นอันขาด บ้านคนเกิดวันอาทิตย์ต้องเป็นบ้านไม้สีแดง หรือใช้สีขาวก็ได้ สำหรับการเลือกสีของห้องนั้น ห้องนอนควรเลือกทาสีควันบุหรี่ หรือสีขาว แต่หากผนังของบ้านเป็นไม้หรืออิฐ อาจตกแต่งเสริมด้วยผ้าม่านสีขาวซึ่งช่วยเสริมดวงชะตาของผู้ที่เกิดวัน อาทิตย์ได้เป็นอย่างดี

( ขอบคุณภาพจาก โครงการ คาซ่า ยูเรก้า พระราม2-พุทธบูชา)
ผู้ที่เกิดวันจันทร์ สีที่ถูกโฉลกควรเป็นสีน้ำเงินหรือ สีฟ้าอ่อน หากคุณชอบสีเหลืองก็ต้องเป็นสีเหลืองอ่อน และ ห้องนอนก็ใช้สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเขียวอ่อน หรือสีขาว ข้อห้ามสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ไม่ควรเลือกทาสีสดๆ อย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่มีความสุข

( ขอบคุณภาพจาก โครงการ ชาโตว์ อินทาวน์ รัชดา 10)
ผู้ที่เกิดวันอังคาร สีที่ถูกโฉลกควรเป็นสีเทาและ สีฟ้าอ่อน เพราะเป็นสีที่ถูกโฉลกส่วน ห้องนอนควรเลือกสีเขียวอ่อน สีฟ้าอ่อน หรือ สีอ่อนๆ แสดงถึงความรู้สึกอ่อนโยน นุ่มนวล เนื่องจากสีประเภทนี้จะทำให้เกิดความสงบ ผ่อนคลาย และผู้อยู่อาศัยมีสมาธิทำให้สมาชิกในบ้านเกิดความรู้สึกสบายใจ และช่วยสามารถหลีกเลี่ยงความวุ่นวายต่างๆ

( ขอบคุณภาพจาก โครงการแบงค์คอก ฮอไรซอน เพชรเกษม )
ผู้ที่เกิดวันพุธ ผู้ที่เกิดวันพุธกลางวันควรเลือก สีฟ้า สีแสด สีขาว สีดำ ซึ่งสามารถใช้ทาห้องนอนได้ด้วยเชื่อว่าจะเสริมสิริมงคลและทำให้ผู้อยู่ใน บ้านเกิดความสุข ส่วนผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน ควรเลือกทา สีชมพู สีเทา สีเขียวอ่อน และสีขาวนวล เนื่องจากเป็นสีที่ช่วยเสริมดวงชะตาของทุกคนในบ้าน

( ขอบคุณภาพจาก โครงการแบงค์คอก ฮอไรซอน P48 )
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ควร เลือกใช้สีเอิร์ธโทน หรือสีน้ำตาล หากเป็นบ้านไม้ควรเลือกทาสีน้ำตาล ส่วนบ้านหรือตึกควรเลือกทาสีเนื้ออ่อน หรือสีน้ำตาลอ่อนๆ ส่วนสีของ ห้องนอนควรเลือกทาสีส้มอ่อน สีพีช สีฟ้าอ่อน สีเหลืองครีม และสีขาวเพราะสีเหล่านี้สามารถสร้างความสุขสำหรับผู้ที่เกิดในวันนี้ได้เป็น อย่างดี

( ขอบคุณภาพจาก โครงการชาโตว์ อินทาวน์ พหลโยธิน14-2 )
ผู้ที่เกิดวันศุกร์ ควรเลือกสีทาบ้านที่เป็นสีอ่อน เช่นสีขาว สีควันบุหรี่ หากชอบสีสัน ควรเลือกสีส้มอ่อน สีเขียวอ่อน เพื่อใช้ทาภายนอก ส่วน ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น ควรเลือกสีพีช สีเขียวอ่อน และสีขาว เพราะสีเหล่านี้จะทำให้ผู้ที่เกิดในวันศุกร์มีความสุข หรือหากชอบแต่งห้องด้วยผ้าม่าน ควรเลือกม่านสีฟ้าอ่อน สีเหลืองครีม หรือสีส้มอ่อน จะช่วยเสริมดวงชะตาได้

( ขอบคุณภาพจาก โครงการชาโตว์ อินทาวน์ พหลโยธิน 32)
ผู้ที่เกิดวันเสาร์ ควรเลือกใช้สีบ้านที่เป็นโทนสีอ่อนๆ เช่นสีขาว สีควันบุหรี่ หรือสีเขียวอ่อน และที่สำคัญไม่ควรเลือกสีบ้านที่เป็นสีฟ้า หรือสีน้ำเงิน ควรเลือกสีเขียวอ่อน จะดีที่สุด สีเหล่านี้สามารถใช้ทาได้ทั้งภายในและภายนอกของตัวบ้าน และห้องต่างๆ ในบ้านสามารถเลือกสีทาได้ง่ายมีความหลากหลายได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกสีใดสีหนึ่ง
เรียบเรียงโดย : กระดังงา
วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
คอนโด บทความ New Surface รวมวัสดุกรุพื้นผิวทางเลือกใหม่ [www.cmc.co.th]
บทความจาก www.cmc.co.th
1. กระเบื้อง Digital Print
เหมาะสำหรับผนังห้อง น้ำที่ ต้องการลวดลายในตัว ใช้เทคนิคใหม่เพื่อพิมพ์สีลงบนกระเบื้องก่อนเผาช่วยให้เกิดลวดลายติดทน นานอยู่ในเนื้อกระเบื้อง พิเศษตรงที่ภาพบนผิวกระเบื้องทุกแผ่นไม่ขาดตอนไม่เหมือนเทคนิคการพิมพ์รุ่น ก่อนๆ
ขนาดขึ้นอยู่กับขนาดกระเบื้อง
ความหนา ตามขนาดของกระเบื้อง
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับขนาดและลวดลาย
บริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด โทร. 0-2586-4297
2. หินสังเคราะห์ตัดด้วยระบบดิจิทัล
เหมาะ สำหรับ พื้นหรือผนังที่ต้องการตกแต่งด้วยหินสังเคราะห์น้ำหนักเบา ที่มีโทนสีและพื้นผิวดูแปลกใหม่ ทั้งยังสามารถผลิตเป็นลวดลายและรูปทรงต่างๆได้ไม่จำกัด โดยกำหนดรูปแบบผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถทำเป็นภาพนูนต่ำหรือเจาะทะลุชิ้นงานได้หลากหลายตามต้องการ
ขนาด ผลิตตามสั่ง
ความหนา ไม่จำกัด
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับรายละเอียด ขนาด และความหนา
บริษัท THAI-GERMAN SPECIALTY GLASS CO., LTD. โทร. 0-2294-6287 , www.tgsg.co.th
3. แผ่นยิปซั่มฉลุลาย DEKOR Board
เหมาะ สำหรับ การสร้างลวดลายให้เพดานและผนังด้วยลวดลายกราฟิกโดยฉลุหรือสลักเป็นร่องที่มี ความลึกตั้งแต่ 1 มิลลิเมตร โดยคุณสามารถออกแบบลวดลายและขนาดได้ตามต้องการ นอกจากดูสวยงามแล้ว ลายฉลุยังช่วยเรื่องการดูดซับเสียงสะท้อนภายในห้องได้ด้วย หรืออาจเพิ่มความน่าสนใจอีกนิดด้วยเทคนิคซ่อนไฟไว้ด้านใน เพื่อให้แสงไฟลอดผ่านลายฉลุหรือลายสลักเกิดแสงเงาสวยงามน่าสนใจมากขึ้น
ขนาด 120X 240 เซนติเมตร (หรือผลิตตามสั่ง)
ความหนา มีตั้งแต่ 9 12 และ 15 มิลลิเมตร
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับลวดลาย ขนาด และความหนา
บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซั่ม (สระบุรี) จำกัด โทร.02-555-0055, www.siamgypsum.com
4. กระจก Rainbow Pollo
เหมาะ สำหรับ ผนังที่ต้องการความโปร่งและทันสมัย ดูสะดุดตาด้วยแสงที่สามารถลอดผ่านลวดลายกราฟิกบนกระจกเงา คุณสามารถออกแบบลวดลายและเลือกสีสันตามชอบได้ด้วย
ขนาด ผลิตตามสั่ง
ความหนา 10 มิลลิเมตร
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับความหนา ขนาด และลวดลาย
บริษัท Thai Techno Glass Co.,Ltd. โทร. 0-2938-3505 หรือ 0-2938-3888 ต่อ 1313
5. เทคนิคพิมพ์ภาพลงแผ่นไม้
เหมาะ สำหรับ สร้างลวดลายส่วนตัวลงบนแผ่นไม้เพื่อติดตกแต่งผนังในบ้าน เทคนิคนี้ใช้การพิมพ์ภาพอิงค์เจ็ตลงบนแผ่นไม้แทนกระดาษที่พบเห็นทั่วไป ซึ่งสามารถพิมพ์ลงบนพื้นผิววัสดุได้หลากหลายแบบทั้งแผ่นไม้อัด แผ่นลามิเนต และฟอร์เมกา นับเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยเพิ่มสีสันให้ผนังได้เป็นอย่างดี
ขนาด ผลิตตามสั่ง
ความหนา ตั้งแต่ 1-20 มิลลิเมตร
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับขนาด และความหนา
บริษัท Practika co.,Ltd. โทร. 0-2533-3955 ต่อ 185-6
6. แผ่น 3 FORM
เหมาะ สำหรับ ใช้กั้นผนังห้องน้ำหรือแบ่งสัดส่วนห้องที่ต้องการความโปร่งแสงแทนกระจกฝ้า เนื่องจากมีความบาง เบา และโปร่งแสง หรือจะใช้กรุพื้นหรือผนังก็ได้ เนื่องจากมีความยึดหยุ่นและทนทานต่อการขูดขีดสูง
ขนาด ผลิตตามสั่ง
ความหนา 5 มิลลิเมตร
ราคา ตารางฟุตละ 950 - 2,000 บาท
บริษัท SCG TRADING โทร. 0-2586-6237
ที่มา: Roommag
เหมาะสำหรับผนังห้อง น้ำที่ ต้องการลวดลายในตัว ใช้เทคนิคใหม่เพื่อพิมพ์สีลงบนกระเบื้องก่อนเผาช่วยให้เกิดลวดลายติดทน นานอยู่ในเนื้อกระเบื้อง พิเศษตรงที่ภาพบนผิวกระเบื้องทุกแผ่นไม่ขาดตอนไม่เหมือนเทคนิคการพิมพ์รุ่น ก่อนๆ
ขนาดขึ้นอยู่กับขนาดกระเบื้อง
ความหนา ตามขนาดของกระเบื้อง
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับขนาดและลวดลาย
บริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด โทร. 0-2586-4297
2. หินสังเคราะห์ตัดด้วยระบบดิจิทัล
เหมาะ สำหรับ พื้นหรือผนังที่ต้องการตกแต่งด้วยหินสังเคราะห์น้ำหนักเบา ที่มีโทนสีและพื้นผิวดูแปลกใหม่ ทั้งยังสามารถผลิตเป็นลวดลายและรูปทรงต่างๆได้ไม่จำกัด โดยกำหนดรูปแบบผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถทำเป็นภาพนูนต่ำหรือเจาะทะลุชิ้นงานได้หลากหลายตามต้องการ
ขนาด ผลิตตามสั่ง
ความหนา ไม่จำกัด
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับรายละเอียด ขนาด และความหนา
บริษัท THAI-GERMAN SPECIALTY GLASS CO., LTD. โทร. 0-2294-6287 , www.tgsg.co.th
3. แผ่นยิปซั่มฉลุลาย DEKOR Board
เหมาะ สำหรับ การสร้างลวดลายให้เพดานและผนังด้วยลวดลายกราฟิกโดยฉลุหรือสลักเป็นร่องที่มี ความลึกตั้งแต่ 1 มิลลิเมตร โดยคุณสามารถออกแบบลวดลายและขนาดได้ตามต้องการ นอกจากดูสวยงามแล้ว ลายฉลุยังช่วยเรื่องการดูดซับเสียงสะท้อนภายในห้องได้ด้วย หรืออาจเพิ่มความน่าสนใจอีกนิดด้วยเทคนิคซ่อนไฟไว้ด้านใน เพื่อให้แสงไฟลอดผ่านลายฉลุหรือลายสลักเกิดแสงเงาสวยงามน่าสนใจมากขึ้น
ขนาด 120X 240 เซนติเมตร (หรือผลิตตามสั่ง)
ความหนา มีตั้งแต่ 9 12 และ 15 มิลลิเมตร
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับลวดลาย ขนาด และความหนา
บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซั่ม (สระบุรี) จำกัด โทร.02-555-0055, www.siamgypsum.com
4. กระจก Rainbow Pollo
เหมาะ สำหรับ ผนังที่ต้องการความโปร่งและทันสมัย ดูสะดุดตาด้วยแสงที่สามารถลอดผ่านลวดลายกราฟิกบนกระจกเงา คุณสามารถออกแบบลวดลายและเลือกสีสันตามชอบได้ด้วย
ขนาด ผลิตตามสั่ง
ความหนา 10 มิลลิเมตร
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับความหนา ขนาด และลวดลาย
บริษัท Thai Techno Glass Co.,Ltd. โทร. 0-2938-3505 หรือ 0-2938-3888 ต่อ 1313
5. เทคนิคพิมพ์ภาพลงแผ่นไม้
เหมาะ สำหรับ สร้างลวดลายส่วนตัวลงบนแผ่นไม้เพื่อติดตกแต่งผนังในบ้าน เทคนิคนี้ใช้การพิมพ์ภาพอิงค์เจ็ตลงบนแผ่นไม้แทนกระดาษที่พบเห็นทั่วไป ซึ่งสามารถพิมพ์ลงบนพื้นผิววัสดุได้หลากหลายแบบทั้งแผ่นไม้อัด แผ่นลามิเนต และฟอร์เมกา นับเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยเพิ่มสีสันให้ผนังได้เป็นอย่างดี
ขนาด ผลิตตามสั่ง
ความหนา ตั้งแต่ 1-20 มิลลิเมตร
ราคา ติดต่อสอบถามผู้ผลิตเนื่องจากขึ้นอยู่กับขนาด และความหนา
บริษัท Practika co.,Ltd. โทร. 0-2533-3955 ต่อ 185-6
6. แผ่น 3 FORM
เหมาะ สำหรับ ใช้กั้นผนังห้องน้ำหรือแบ่งสัดส่วนห้องที่ต้องการความโปร่งแสงแทนกระจกฝ้า เนื่องจากมีความบาง เบา และโปร่งแสง หรือจะใช้กรุพื้นหรือผนังก็ได้ เนื่องจากมีความยึดหยุ่นและทนทานต่อการขูดขีดสูง
ขนาด ผลิตตามสั่ง
ความหนา 5 มิลลิเมตร
ราคา ตารางฟุตละ 950 - 2,000 บาท
บริษัท SCG TRADING โทร. 0-2586-6237
ที่มา: Roommag
วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
5 ข้อ ตรวจสอบก่อนซื้อคอนโด (ที่ยังไม่สร้าง)
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
ขณะที่ตลาดคอนโด ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลขยายตัวแบบทรงๆ แต่ในจังหวัดหลายภูมิภาค การซื้อขายและลงทุนคอนโดคึกคัก มาก ที่สำคัญบางพื้นที่ตลาดนี้ถือว่าเพิ่งเกิด เพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็ดูใหม่ไปหมดทั้งคนซื้อคนขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซื้อมือใหม่อาจตัดสินใจกันไม่ถูกเลยทีเดียว เนื่องจากตัวเลือกโครงการมีมากมาย ผู้ประกอบการก็หลากหลายทั้งคนใหม่ที่เห็นลู่ทางทางธุรกิจสดใส มีที่ดินก็เลยมาทำคอนโดขาย หรือรายเก่าที่เคยทำโครงการอยู่ก่อนแล้วเห็น่องทางก็เลยขยายเปิดโครงการ
กรณีที่โครงการยังไม่ได้ก่อสร้าง ผู้ซื้อจะต้องไม่พลาดการพิจารณาเรื่องดังต่อไปนี้
1. ใบอนุญาตก่อสร้าง: ถ้าโครงการยังไม่ได้ก่อสร้างจะต้องได้รับใบอนุญาตก่อสร้างจากเจ้าพนักงาน ท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารปี 2522 โดยผู้ซื้อสามารถสอบถามเกี่ยวกับใบอนุญาตก่อสร้างได้ว่าได้รับใบอนุญาตก่อ สร้างแล้วหรือยัง
2. รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA): เป็นเอกสารสำคัญที่ควรให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้หากโครงการนั้นมีจำนวนห้องชุดตั้งแต่ 80 ยูนิตขึ้นไป หรือมีพื้นที่ก่อสร้างตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรจะต้องได้รับอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งโดยทั่วไปแม้จะมีการเปิดขายโครงการไปก่อน แต่ผู้ประกอบการอาจยังไม่ลงมือก่อสร้างหากยังไม่ได้รับอนุมัติรายงาน EIA เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความยุ่งยากหากก่อสร้างไปแล้วจะต้องถูกสั่งให้แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงแบบอาคาร
3. โฉนดที่ดิน: กรรมสิทธิ์สำหรับที่ดินแปลงที่จะใช้ก่อสร้างคอนโดจะ ต้องเป็น “โฉนด” เท่านั้นและควรเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของโครงการหรือบริษัทผู้ดำเนินการ รวมทั้งจะต้องปลอดจากภาระผูกพันใดๆ ยกเว้นการจำนอง เนื่องจากหากที่ดินติดภาระผูกพันอย่างอื่นจะไม่สามารถจดทะเบียนอาคารชุดได้ หากต้องการความมั่นใจในเรื่องนี้สามารถตรวจสอบโฉนดได้ที่สำนักงานที่ดินที่ โครงการนั้นตั้งอยู่
4. เขตที่ดิน: ก็ต้องตรวจสอบเช่นกัน เพื่อดูว่าแปลงที่ดินนั้นมีทางเข้าออกหรือไม่และทางเข้าออกนั้นเป็นทาง สาธารณะหรือที่ส่วนบุคคล โดยเฉพาะหากทางเข้าออกเป็นที่ส่วนบุคคลจะต้องมีการจดภาระจำยอมให้ที่ดินแปลง ที่ตั้งโครงการสามารถใช้เป็นทางเข้าออกได้
5. ชื่อที่อยู่ของผู้ประกอบการ: อย่างแรกที่จะต้องตรวจสอบคือผู้ประกอบการต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างคอนโดนั้น ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ถ้าเป็นนิติบุคคลก็ต้องดูว่าได้ มีการจดทะเบียนถูกต้องแล้วหรือยัง ทุนจดทะเบียนเท่าไร เหมาะสมกับมูลค่าของโครงการหรือไม่ ใครเป็นกรรมการผู้จัดการหรือกกรรมการผู้มีอำนาจลงาม เราสามารถตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด หรือกรมทะเบียนการค้า นอกจากนี้ประวัติของผู้ประกอบการก็สำคัญ ประสบการณ์ ผลงานในอดีตเป็นอย่างไรชื่อเสียงหรือภาพพจน์ในวงการก็เป็นข้อมูลที่ต้องตรวจ สอบด้วยเช่นกัน
ที่มา Home Buyers’ Guide Eastern ฉบับเดิอน พฤษภาคม 2556
ขณะที่ตลาดคอนโด ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลขยายตัวแบบทรงๆ แต่ในจังหวัดหลายภูมิภาค การซื้อขายและลงทุนคอนโดคึกคัก มาก ที่สำคัญบางพื้นที่ตลาดนี้ถือว่าเพิ่งเกิด เพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็ดูใหม่ไปหมดทั้งคนซื้อคนขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซื้อมือใหม่อาจตัดสินใจกันไม่ถูกเลยทีเดียว เนื่องจากตัวเลือกโครงการมีมากมาย ผู้ประกอบการก็หลากหลายทั้งคนใหม่ที่เห็นลู่ทางทางธุรกิจสดใส มีที่ดินก็เลยมาทำคอนโดขาย หรือรายเก่าที่เคยทำโครงการอยู่ก่อนแล้วเห็น่องทางก็เลยขยายเปิดโครงการ
กรณีที่โครงการยังไม่ได้ก่อสร้าง ผู้ซื้อจะต้องไม่พลาดการพิจารณาเรื่องดังต่อไปนี้
1. ใบอนุญาตก่อสร้าง: ถ้าโครงการยังไม่ได้ก่อสร้างจะต้องได้รับใบอนุญาตก่อสร้างจากเจ้าพนักงาน ท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารปี 2522 โดยผู้ซื้อสามารถสอบถามเกี่ยวกับใบอนุญาตก่อสร้างได้ว่าได้รับใบอนุญาตก่อ สร้างแล้วหรือยัง
2. รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA): เป็นเอกสารสำคัญที่ควรให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้หากโครงการนั้นมีจำนวนห้องชุดตั้งแต่ 80 ยูนิตขึ้นไป หรือมีพื้นที่ก่อสร้างตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรจะต้องได้รับอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งโดยทั่วไปแม้จะมีการเปิดขายโครงการไปก่อน แต่ผู้ประกอบการอาจยังไม่ลงมือก่อสร้างหากยังไม่ได้รับอนุมัติรายงาน EIA เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความยุ่งยากหากก่อสร้างไปแล้วจะต้องถูกสั่งให้แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงแบบอาคาร
3. โฉนดที่ดิน: กรรมสิทธิ์สำหรับที่ดินแปลงที่จะใช้ก่อสร้างคอนโดจะ ต้องเป็น “โฉนด” เท่านั้นและควรเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของโครงการหรือบริษัทผู้ดำเนินการ รวมทั้งจะต้องปลอดจากภาระผูกพันใดๆ ยกเว้นการจำนอง เนื่องจากหากที่ดินติดภาระผูกพันอย่างอื่นจะไม่สามารถจดทะเบียนอาคารชุดได้ หากต้องการความมั่นใจในเรื่องนี้สามารถตรวจสอบโฉนดได้ที่สำนักงานที่ดินที่ โครงการนั้นตั้งอยู่
4. เขตที่ดิน: ก็ต้องตรวจสอบเช่นกัน เพื่อดูว่าแปลงที่ดินนั้นมีทางเข้าออกหรือไม่และทางเข้าออกนั้นเป็นทาง สาธารณะหรือที่ส่วนบุคคล โดยเฉพาะหากทางเข้าออกเป็นที่ส่วนบุคคลจะต้องมีการจดภาระจำยอมให้ที่ดินแปลง ที่ตั้งโครงการสามารถใช้เป็นทางเข้าออกได้
5. ชื่อที่อยู่ของผู้ประกอบการ: อย่างแรกที่จะต้องตรวจสอบคือผู้ประกอบการต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างคอนโดนั้น ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ถ้าเป็นนิติบุคคลก็ต้องดูว่าได้ มีการจดทะเบียนถูกต้องแล้วหรือยัง ทุนจดทะเบียนเท่าไร เหมาะสมกับมูลค่าของโครงการหรือไม่ ใครเป็นกรรมการผู้จัดการหรือกกรรมการผู้มีอำนาจลงาม เราสามารถตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด หรือกรมทะเบียนการค้า นอกจากนี้ประวัติของผู้ประกอบการก็สำคัญ ประสบการณ์ ผลงานในอดีตเป็นอย่างไรชื่อเสียงหรือภาพพจน์ในวงการก็เป็นข้อมูลที่ต้องตรวจ สอบด้วยเช่นกัน
ที่มา Home Buyers’ Guide Eastern ฉบับเดิอน พฤษภาคม 2556
เทคนิคเลือกซื้อห้องชุดมือแรกคอนโด
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
การประชาสัมพันธ์การขายโครงการอาคารชุดของผู้ประกอบการโครงการจะพบว่า โครงการอาคารชุดซึ่งได้รับความนิยมเป็นที่ต้องการของตลาดและผู้สนใจซื้อ อาคารชุด มักอยู่ในบริเวณชุมชน การคมนาคมสะดวก เข้า - ออก ถนนสำคัญ ๆ หลายทาง ใกล้แหล่งความเจริญทั้งโรงพยาบาล ศูนย์การค้า และสถาบันการศึกษา เป็นต้น ยิ่งบริเวณถนนเกาะติดแนวรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินยิ่งจะมีผู้สนใจจับจอง ซื้อเป็นจำนวนมากเพราะเดินทางสะดวกคล่องตัว อีกทั้งใกล้สถานที่ทำงานเปิดตัวขายโครงการไม่กี่วันก็ขายหมด
ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีบริษัทผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดหลงเหลืออยู่ ในตลาดไม่กี่รายที่หันมาเอาดีกับการพัฒนาที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสูงประเภท อาคารชุดเสนอราคาขายต่อผู้บริโภค บริษัทลุมพินี ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถือว่าเป็น "เจ้าพ่อคอนโดมิเนียมตัวจริง" เพราะดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภท "คอนโดมิเนียม" เพียงอย่างเดียว
ประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดของบริษัทแอล.พี. เอ็น.ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถือว่ามีมานาน ประสบการณ์ความชำนาญเฉพาะด้านมีมากกว่า 20 ปี
ถัดมาเป็นของค่ายบริษัทศุ ภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งพัฒนาก่อสร้างโครงการอาคารชุด เฉพาะบริเวณสำคัญ ๆ เท่านั้น มีโครงการอาคารชุด จำนวนหลายแห่งซึ่งบริษัทดังกล่าวพัฒนาขึ้นมาเพื่อเสนอราคาต่อผู้บริโภคอย่าง ต่อเนื่อง
เป็นรองเรื่องจำนวนโครงการซึ่งพัฒนาก่อสร้างต่างกับบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) อีกบริษัทซึ่งน่าติดตามได้แก่ บริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ท จำกัด ในเครือของบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) พัฒนาโครงการอาคารชุดภายใต้แบรนด์ "คอนโดวัน" เกาะติดแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก ประสบการณ์ ความชำนาญด้านการพัฒนาโครงการอาคารชุดถือว่า "ไม่เป็นรองใคร" เช่นเดียวกัน
อีกบริษัทผู้ประกอบการณ์โครงการประเภท "น้องใหม่" ได้แก่ บริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล้ากระโดดมาเล่นตลาดคอนโดมิเนียมเหมือนผู้ประกอบการโครงการรายต่าง ๆ ข้างต้น ชูแบรนด์ "เอสเปซ"
เราๆ ท่าน ๆ พบเห็นบริษัทผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวนกว่า 4 ราย ยังมีบริษัทเอกชนอีกจำนวนไม่น้อยที่หันมาเอาดีด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริม ทรัพย์ ประเภท "อาคารชุด" อีกหลายบริษัท ดังนั้น จึงไม่แปลกซึ่งผู้บริโภคทั่วไปซึ่งสนใจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือห้องชุด จึงมีสิทธิ์พิจารณาเลือกซื้อคอนโดมิเนียมได้อย่างจุใจ
ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจสงสัยว่า ด้วยเหตุใดผู้บริโภคจึงให้ความสนใจเลือกซื้ออาคารชุดกันมากขึ้น มี "คำตอบ" ที่น่าสนใจอยู่ไม่กี่ข้อ อาทิ
1. สะดวกสบายใกล้ที่ทำงานและชุมชน
2. ดูแลรักษาห้องชุดง่ายกว่าบ้านเพราะพื้นที่ใช้สอยไม่มาก
3. สนนราคาไม่แพงเกินกำลังผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน
4. มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินตรวจตราและระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
5. การบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลางและทรัพย์ส่วนบุคคล มีเจ้าหน้าที่และนิติบุคคลอาคารชุดดูแลให้
ปัจจุบันท่านผู้อ่านคงมองเหมือนผมอยู่เรื่องหนึ่ง ได้แก่ จะมีแนวทางพิจารณาเลือกซื้อห้องชุด (มือแรก) จากบริษัทผู้ประกอบการโครงการข้างต้นอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ถูกหลอกลวง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทผู้ประกอบการโครงการ
ก่อนที่ผมจะมีข้อแนะนำให้ท่านพิจารณาในการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือห้องชุดมือแรกให้เกิดประโยชน์ต่อท่านสูงสุดผมขอเรียนให้ท่านผู้ อ่านทราบในเบื้องต้นก่อนว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือ สคบ. ได้ออกประกาศให้การเลือกซื้อขายห้องชุด เป็น ธุรกิจควบคุม เมื่อปี พ.ศ.2547
ผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดทุกรายมีหน้าที่และจำเป็นต้องอาศัย "สัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุดหรือห้องชุด" ที่เป็นมาตรฐาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกำหนด
ข้อสัญญาใดที่เอารัดเอาเปรียบต่อผู้บริโภคหรือผู้จะซื้อห้องชุดถือว่าข้อ สัญญานั้นไม่มีผลใช้บังคับใช้ทางกฎหมาย ถ้าผู้ประกอบการโครงการไม่ปฏิบัติตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภคกำหนดข้อสัญญาซึ่งไม่เป็นธรรมหรือ เป็นการเอารัดเอาเปรียบต่อผู้บริโภค ท่านสามารถร้องเรียนไปได้ที่สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคได้โดยตรง
ประกาศดังกล่าวของสคบ. ข้างต้น ถือเป็นการป้องกันมิให้ผู้บริโภคหรือผู้สนใจจะซื้อเกิดความเสียหายจากการซื้อคอนโดมิเนียมกับผู้ประกอบการโครงการ
สำหรับบางท่านซึ่งสนใจลงทุนซื้อคอนโดมิ เนียมเพื่อสร้างกำไรจากการปล่อยให้เช่าหรือถือครองไว้สักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ค่อยขายเพื่อทำกำไรในอนาคต ผมมีข้อแนะนำให้ท่านพิจารณา ดังนี้
1. มองเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการเป็นลำดับแรก เพราะทำเลที่ตั้งโครงการดี ใกล้แหล่งชุมชนความเจริญ จะสามารถพิจารณาปล่อยให้เช่า หรือขายเอากำไรได้ดีพอสมควร
2. มองเรื่องราคาต่อตารางเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่จะให้บริการต่อเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยได้มากน้อยเพียงไร
3. มองเรื่องค่าใช้จ่ายการบริการจัดการทรัพย์สินส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก ภายในอาคาร มีอัตราการเรียกเก็บเหมาะสมสอดคล้องกับรายจ่ายซึ่งเกิดขึ้นอย่างเพียงพอหรือไม่
สำหรับท่านผู้อ่านซึ่งกำลังมองหา "คอนโดมิ เนียม" เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยจริงต่อจากนั้นไปอีก 10- 20 ปี ข้างหน้า ผมมีคำแนะนำในการพิจารณาเลือกซื้ออาคารชุดหรืิอห้องชุดดังต่อไปนี้
1. ศึกษาข้อมูลของผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดว่าเป็นอย่างไรโดยนำหัวข้อต่างๆ เหล่านี้มาใช้เป็นข้อมูลพิจารณา อาทิ ประสบการณ์ ความชำนาญ และชื่อเสียงของผู้ประกอบการโครงการ ลองสำรวจตรวจสอบกับผู้ซื้ออาคารชุดหรือห้องชุดในโครงการซึ่งขายไปหมดแล้วว่า ผู้ประกอบการโครงการดำเนินธุรกิจตรงไปตรงมาหรือไม่
2. ศึกษาและตรวจสอบรายละเอียดของเนื้อหาสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดว่าเป็นธรรมและไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคคอนโดมิ เนียมสร้างเสร็จใหม่ผมให้ความสำคัญกับระยะเวลาการก่อสร้างสามารถจะก่อสร้าง แล้วเสร็จตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือไม่และรายละเอียดประกอบสัญญา ได้แก่ รายการวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างอาคารชุด ตรงตามสัญญาหรือไม่ ระยะเวลาการรับประกันความเสียหายจากหารชำรุดบกพร่องของทรัพย์ส่วนบุคคลและ ทรัพย์ส่วนกลาง เป็นต้น
3. ตรวจสอบรายการโฆษณาประชาสัมพันธ์ รายการทรัพย์ส่วนกลางจดทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ทรัพย์ส่วนกลางหรือทรัพย์ส่วน บุคคลของผู้ประกอบการโครงการ
ก่อนที่ท่านผู้จะซื้อห้องชุดจะตรวจรับมอบ ห้องชุดจากผู้จะขายหรือผู้ประกอบการโครงการผมให้คำแนะนำท่านให้แวะไปสอบถาม รายการจดทะเบียนทรัพย์ส่วนกลางและทรัพย์ส่วนบุคคลว่ามีรายการใดบ้าง กับพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินซึ่งโครงการอาคารชุดตั้งอยู่
"ทรัพย์ส่วนกลาง" เป็นทรัพย์ซึ่งเจ้าของร่วมมีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ร่วมกันและเจ้าของร่วม เป็นเจ้าของโดยมีนิติบุคคลอาคารชุดเป็นผู้ดูแลบำรุงรักษาด้วยค่าใช้จ่ายร่วม กันของเจ้าของร่วมทุกคนภายในอาคารชุด
"ทรัพย์ส่วนบุคคล" ได้แก่ห้องชุดโดยมีหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดแสดงเป็นหลักฐานคอนโดมิเนียมบางแห่งจดทะเบียนที่จอดรถยนต์ไว้เป็นทรัพย์ส่วนบุคคล บางแห่งจดทะเบียนเป็นทรัพย์ส่วนกลาง
4. อัตราค่าใช้จ่ายส่วนกลางและกองทุนของนิติบุคคลอาคารชุดเหมาะสมสอดคล้องกับงบ ประมาณรายจ่ายการบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลางหรือไม่ ผู้บริโภคหรือผู้จะซื้อบางท่านมองว่าอัตราค่าใช้จ่ายส่วนกลาง หรือเงินกองทุนซึ่งนิติบุคคลอาคารชุด (ผู้ประกอบการโครงการ) เรียกเก็บกับผู้จะซื้อ "ราคาถูกกว่าโครงการอื่น" อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือกซื้ออาคารชุดแห่งนั้นนะครับ
ขอให้ท่านพิจารณาประเมินรายรับค่าใช้จ่ายส่วนกลางกับรายจ่ายอันเกิดจาก การบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลางในเบื้องต้นก่อนว่ามีความสอดคล้องกันมากน้อย แค่ไหน อัตราค่าใช้จ่ายส่วนกลาง "ถูก" หรือ ต่ำกว่าความเป็นจริงจะเป็นตัวฉุดมูลค่าของโครงการมากพอสมควร
5. ตรวจสอบรายการจดทะเบียนถนน หรือซอยทางเข้าโครงการที่ตั้งอาคารชุดกับพนักงานเจ้าหน้าที่ "กรมที่ดิน" ถามว่าทำไมผู้บริโภคหรือผู้จะซื้อจะต้องตรวจสอบรายการจดทะเบียนของถนนหรือ ซอยเข้าภายในโครงการซึ่งเป็นที่ตั้งอาคารชุดด้วย เนื่องจากเคยมีปัญหาพิพาทระหว่างผู้ประกอบการโครงการกับผู้ถือกรรมสิทธิ์ใน ที่ดินประเภทถนนหรือซอยเข้าภายในโครงการมาก่อน
กรณีถนนหรือซอยเข้าภายในโครงการได้รับการจดทะเบียนให้เป็นสาธารณะ ประโยชน์ปัญหาพิพาทจะไม่พบให้เห็นแต่กรณีจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้ถนนหรือ ซอยเป็นการใช้ประโยชน์ของผู้คนภายในซอยก็ไม่พบเห็นปัญหา
ปัญหาที่เกิดขึ้นมักได้แก่ถนนหรือซอยทางเข้าออกของโครงการไม่ได้จด ทะเบียนเป็นทั้งสาธารณะประโยชน์และภาระจำยอมแต่จดทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ส่วน บุคคล เวลาหมดสัญญาระหว่างกันวันนั้นจะเกิดปัญหาต่อผู้จะซื้อห้องชุดหรือผู้เป็น เจ้าของร่วม
ที่มา: พิสิฐชูประสิทธิ์ นายกสมาคมนักบริหารอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร
การประชาสัมพันธ์การขายโครงการอาคารชุดของผู้ประกอบการโครงการจะพบว่า โครงการอาคารชุดซึ่งได้รับความนิยมเป็นที่ต้องการของตลาดและผู้สนใจซื้อ อาคารชุด มักอยู่ในบริเวณชุมชน การคมนาคมสะดวก เข้า - ออก ถนนสำคัญ ๆ หลายทาง ใกล้แหล่งความเจริญทั้งโรงพยาบาล ศูนย์การค้า และสถาบันการศึกษา เป็นต้น ยิ่งบริเวณถนนเกาะติดแนวรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินยิ่งจะมีผู้สนใจจับจอง ซื้อเป็นจำนวนมากเพราะเดินทางสะดวกคล่องตัว อีกทั้งใกล้สถานที่ทำงานเปิดตัวขายโครงการไม่กี่วันก็ขายหมด
ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีบริษัทผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดหลงเหลืออยู่ ในตลาดไม่กี่รายที่หันมาเอาดีกับการพัฒนาที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสูงประเภท อาคารชุดเสนอราคาขายต่อผู้บริโภค บริษัทลุมพินี ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถือว่าเป็น "เจ้าพ่อคอนโดมิเนียมตัวจริง" เพราะดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภท "คอนโดมิเนียม" เพียงอย่างเดียว
ประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดของบริษัทแอล.พี. เอ็น.ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถือว่ามีมานาน ประสบการณ์ความชำนาญเฉพาะด้านมีมากกว่า 20 ปี
ถัดมาเป็นของค่ายบริษัทศุ ภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งพัฒนาก่อสร้างโครงการอาคารชุด เฉพาะบริเวณสำคัญ ๆ เท่านั้น มีโครงการอาคารชุด จำนวนหลายแห่งซึ่งบริษัทดังกล่าวพัฒนาขึ้นมาเพื่อเสนอราคาต่อผู้บริโภคอย่าง ต่อเนื่อง
เป็นรองเรื่องจำนวนโครงการซึ่งพัฒนาก่อสร้างต่างกับบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) อีกบริษัทซึ่งน่าติดตามได้แก่ บริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ท จำกัด ในเครือของบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) พัฒนาโครงการอาคารชุดภายใต้แบรนด์ "คอนโดวัน" เกาะติดแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก ประสบการณ์ ความชำนาญด้านการพัฒนาโครงการอาคารชุดถือว่า "ไม่เป็นรองใคร" เช่นเดียวกัน
อีกบริษัทผู้ประกอบการณ์โครงการประเภท "น้องใหม่" ได้แก่ บริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล้ากระโดดมาเล่นตลาดคอนโดมิเนียมเหมือนผู้ประกอบการโครงการรายต่าง ๆ ข้างต้น ชูแบรนด์ "เอสเปซ"
เราๆ ท่าน ๆ พบเห็นบริษัทผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวนกว่า 4 ราย ยังมีบริษัทเอกชนอีกจำนวนไม่น้อยที่หันมาเอาดีด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริม ทรัพย์ ประเภท "อาคารชุด" อีกหลายบริษัท ดังนั้น จึงไม่แปลกซึ่งผู้บริโภคทั่วไปซึ่งสนใจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือห้องชุด จึงมีสิทธิ์พิจารณาเลือกซื้อคอนโดมิเนียมได้อย่างจุใจ
ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจสงสัยว่า ด้วยเหตุใดผู้บริโภคจึงให้ความสนใจเลือกซื้ออาคารชุดกันมากขึ้น มี "คำตอบ" ที่น่าสนใจอยู่ไม่กี่ข้อ อาทิ
1. สะดวกสบายใกล้ที่ทำงานและชุมชน
2. ดูแลรักษาห้องชุดง่ายกว่าบ้านเพราะพื้นที่ใช้สอยไม่มาก
3. สนนราคาไม่แพงเกินกำลังผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน
4. มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินตรวจตราและระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
5. การบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลางและทรัพย์ส่วนบุคคล มีเจ้าหน้าที่และนิติบุคคลอาคารชุดดูแลให้
ปัจจุบันท่านผู้อ่านคงมองเหมือนผมอยู่เรื่องหนึ่ง ได้แก่ จะมีแนวทางพิจารณาเลือกซื้อห้องชุด (มือแรก) จากบริษัทผู้ประกอบการโครงการข้างต้นอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ถูกหลอกลวง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทผู้ประกอบการโครงการ
ก่อนที่ผมจะมีข้อแนะนำให้ท่านพิจารณาในการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือห้องชุดมือแรกให้เกิดประโยชน์ต่อท่านสูงสุดผมขอเรียนให้ท่านผู้ อ่านทราบในเบื้องต้นก่อนว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือ สคบ. ได้ออกประกาศให้การเลือกซื้อขายห้องชุด เป็น ธุรกิจควบคุม เมื่อปี พ.ศ.2547
ผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดทุกรายมีหน้าที่และจำเป็นต้องอาศัย "สัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุดหรือห้องชุด" ที่เป็นมาตรฐาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกำหนด
ข้อสัญญาใดที่เอารัดเอาเปรียบต่อผู้บริโภคหรือผู้จะซื้อห้องชุดถือว่าข้อ สัญญานั้นไม่มีผลใช้บังคับใช้ทางกฎหมาย ถ้าผู้ประกอบการโครงการไม่ปฏิบัติตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภคกำหนดข้อสัญญาซึ่งไม่เป็นธรรมหรือ เป็นการเอารัดเอาเปรียบต่อผู้บริโภค ท่านสามารถร้องเรียนไปได้ที่สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคได้โดยตรง
ประกาศดังกล่าวของสคบ. ข้างต้น ถือเป็นการป้องกันมิให้ผู้บริโภคหรือผู้สนใจจะซื้อเกิดความเสียหายจากการซื้อคอนโดมิเนียมกับผู้ประกอบการโครงการ
สำหรับบางท่านซึ่งสนใจลงทุนซื้อคอนโดมิ เนียมเพื่อสร้างกำไรจากการปล่อยให้เช่าหรือถือครองไว้สักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ค่อยขายเพื่อทำกำไรในอนาคต ผมมีข้อแนะนำให้ท่านพิจารณา ดังนี้
1. มองเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการเป็นลำดับแรก เพราะทำเลที่ตั้งโครงการดี ใกล้แหล่งชุมชนความเจริญ จะสามารถพิจารณาปล่อยให้เช่า หรือขายเอากำไรได้ดีพอสมควร
2. มองเรื่องราคาต่อตารางเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่จะให้บริการต่อเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยได้มากน้อยเพียงไร
3. มองเรื่องค่าใช้จ่ายการบริการจัดการทรัพย์สินส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก ภายในอาคาร มีอัตราการเรียกเก็บเหมาะสมสอดคล้องกับรายจ่ายซึ่งเกิดขึ้นอย่างเพียงพอหรือไม่
สำหรับท่านผู้อ่านซึ่งกำลังมองหา "คอนโดมิ เนียม" เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยจริงต่อจากนั้นไปอีก 10- 20 ปี ข้างหน้า ผมมีคำแนะนำในการพิจารณาเลือกซื้ออาคารชุดหรืิอห้องชุดดังต่อไปนี้
1. ศึกษาข้อมูลของผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดว่าเป็นอย่างไรโดยนำหัวข้อต่างๆ เหล่านี้มาใช้เป็นข้อมูลพิจารณา อาทิ ประสบการณ์ ความชำนาญ และชื่อเสียงของผู้ประกอบการโครงการ ลองสำรวจตรวจสอบกับผู้ซื้ออาคารชุดหรือห้องชุดในโครงการซึ่งขายไปหมดแล้วว่า ผู้ประกอบการโครงการดำเนินธุรกิจตรงไปตรงมาหรือไม่
2. ศึกษาและตรวจสอบรายละเอียดของเนื้อหาสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดว่าเป็นธรรมและไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคคอนโดมิ เนียมสร้างเสร็จใหม่ผมให้ความสำคัญกับระยะเวลาการก่อสร้างสามารถจะก่อสร้าง แล้วเสร็จตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือไม่และรายละเอียดประกอบสัญญา ได้แก่ รายการวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างอาคารชุด ตรงตามสัญญาหรือไม่ ระยะเวลาการรับประกันความเสียหายจากหารชำรุดบกพร่องของทรัพย์ส่วนบุคคลและ ทรัพย์ส่วนกลาง เป็นต้น
3. ตรวจสอบรายการโฆษณาประชาสัมพันธ์ รายการทรัพย์ส่วนกลางจดทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ทรัพย์ส่วนกลางหรือทรัพย์ส่วน บุคคลของผู้ประกอบการโครงการ
ก่อนที่ท่านผู้จะซื้อห้องชุดจะตรวจรับมอบ ห้องชุดจากผู้จะขายหรือผู้ประกอบการโครงการผมให้คำแนะนำท่านให้แวะไปสอบถาม รายการจดทะเบียนทรัพย์ส่วนกลางและทรัพย์ส่วนบุคคลว่ามีรายการใดบ้าง กับพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินซึ่งโครงการอาคารชุดตั้งอยู่
"ทรัพย์ส่วนกลาง" เป็นทรัพย์ซึ่งเจ้าของร่วมมีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ร่วมกันและเจ้าของร่วม เป็นเจ้าของโดยมีนิติบุคคลอาคารชุดเป็นผู้ดูแลบำรุงรักษาด้วยค่าใช้จ่ายร่วม กันของเจ้าของร่วมทุกคนภายในอาคารชุด
"ทรัพย์ส่วนบุคคล" ได้แก่ห้องชุดโดยมีหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดแสดงเป็นหลักฐานคอนโดมิเนียมบางแห่งจดทะเบียนที่จอดรถยนต์ไว้เป็นทรัพย์ส่วนบุคคล บางแห่งจดทะเบียนเป็นทรัพย์ส่วนกลาง
4. อัตราค่าใช้จ่ายส่วนกลางและกองทุนของนิติบุคคลอาคารชุดเหมาะสมสอดคล้องกับงบ ประมาณรายจ่ายการบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลางหรือไม่ ผู้บริโภคหรือผู้จะซื้อบางท่านมองว่าอัตราค่าใช้จ่ายส่วนกลาง หรือเงินกองทุนซึ่งนิติบุคคลอาคารชุด (ผู้ประกอบการโครงการ) เรียกเก็บกับผู้จะซื้อ "ราคาถูกกว่าโครงการอื่น" อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือกซื้ออาคารชุดแห่งนั้นนะครับ
ขอให้ท่านพิจารณาประเมินรายรับค่าใช้จ่ายส่วนกลางกับรายจ่ายอันเกิดจาก การบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลางในเบื้องต้นก่อนว่ามีความสอดคล้องกันมากน้อย แค่ไหน อัตราค่าใช้จ่ายส่วนกลาง "ถูก" หรือ ต่ำกว่าความเป็นจริงจะเป็นตัวฉุดมูลค่าของโครงการมากพอสมควร
5. ตรวจสอบรายการจดทะเบียนถนน หรือซอยทางเข้าโครงการที่ตั้งอาคารชุดกับพนักงานเจ้าหน้าที่ "กรมที่ดิน" ถามว่าทำไมผู้บริโภคหรือผู้จะซื้อจะต้องตรวจสอบรายการจดทะเบียนของถนนหรือ ซอยเข้าภายในโครงการซึ่งเป็นที่ตั้งอาคารชุดด้วย เนื่องจากเคยมีปัญหาพิพาทระหว่างผู้ประกอบการโครงการกับผู้ถือกรรมสิทธิ์ใน ที่ดินประเภทถนนหรือซอยเข้าภายในโครงการมาก่อน
กรณีถนนหรือซอยเข้าภายในโครงการได้รับการจดทะเบียนให้เป็นสาธารณะ ประโยชน์ปัญหาพิพาทจะไม่พบให้เห็นแต่กรณีจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้ถนนหรือ ซอยเป็นการใช้ประโยชน์ของผู้คนภายในซอยก็ไม่พบเห็นปัญหา
ปัญหาที่เกิดขึ้นมักได้แก่ถนนหรือซอยทางเข้าออกของโครงการไม่ได้จด ทะเบียนเป็นทั้งสาธารณะประโยชน์และภาระจำยอมแต่จดทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ส่วน บุคคล เวลาหมดสัญญาระหว่างกันวันนั้นจะเกิดปัญหาต่อผู้จะซื้อห้องชุดหรือผู้เป็น เจ้าของร่วม
ที่มา: พิสิฐชูประสิทธิ์ นายกสมาคมนักบริหารอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)