วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Renovate Condo สร้างมุมมองใหม่ห้องคอนโด
เรื่อง: FB. Hoo Room ภาพ : นันทิยา บุษบงค์ : room No.107 >>Jan 12 >>showcase
เจ้าของ: คุณโม-ณติน ฤทธิ์ปรีดานันท์
อาชีพ: Creative Director บริษัท Match Box
ห้องชุดในคอนโดมิเนียมพื้นที่ 100 ตารางเมตร แห่งนี้เดิมทีแบ่งพื้นที่ออกเป็นห้องเล็ก ๆ ทำให้รู้สึกอึดอัด คุณโม-ณติน ฤทธิ์ปรีดานันท์ จึงเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยใหม่ให้เหมาะกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เริ่มจากรื้อผนังห้องรับแขกให้โปร่งโล่งจนกลายเป็นห้องขนาดใหญ่ สามารถใช้พื้นที่ร่วมกันระหว่างโต๊ะอาหารกับมุมพักผ่อนได้สบาย ๆ
นอก จากนี้ยังได้ตกแต่งห้องใหม่ทั้งหมดโดยแบ่งสัดส่วนด้วยการใช้โทนสีให้ต่างกัน อย่างห้องรับประทานอาหารได้เลือกใช้สีขาวให้ดูสะอาดตา มุมพักผ่อนใช้โทนสีดำ-เทาให้ความรู้สึกชวนผ่อนคลาย สร้างความพิเศษด้วยการตกแต่งโคมไฟให้มีแสงสีคล้ายบรรยากาศในผับตามแบบที่ เจ้าของชื่นชอบ ส่วนห้องนอนก็ยังคงเดิมไว้แต่ปรับเปลี่ยนตู้เสื้อผ้าใหม่เพื่อรองรับสมาชิก ทั้งสองคน ตกแต่งห้องนอนในโทนสีดำเพื่อให้ห้องมืดสนิทเหมาะกับการพักผ่อน และห้องครัวจากเดิมที่เคยเป็นแพนทรี่เล็ก ๆ ใช้งานลำบากได้ปรับใหม่ให้ใหญ่ขึ้น โดยต่อเติมเคาน์เตอร์กลางห้องเพื่อเพิ่มพื้นที่ทำครัวและใช้เป็นที่รับ ประทานอาหารได้ในตัว
แม้พื้นที่จะเท่าเดิมแต่เมื่อปรับมุมมองให้โล่งและใช้โทนสีมาช่วยในการ ตกแต่งก็สามารถเปลี่ยนให้ห้องที่เคยแคบดูกว้างขึ้นทันตาเห็น
เลือก ใช้เตียงสีดำให้กลืนไปกับสีห้อง จนชุดปลอกหมอนและผ้าห่มสีขาวดูลอยเด่นอยู่กลางห้อง ส่วนหัวเตียงเป็นงานหุ้มเบาะหนังยึดหมุดสไตล์ย้อนยุคดูขัดกับงานตกแต่งสมัย ใหม่แก้เบื่อได้ดี
ต้องการให้ห้องดูดิบหยาบๆ แบบปูนขัดมันเพื่อตัดอารมณ์กับห้องอื่น ๆ แต่เพื่อความสะดวกไม่ยุ่งยากแนะนำให้เลือกใช้แผ่นไม้อัดซีเมนต์มากรุทับผนัง เดิมจะง่ายกว่าการฉาบปูนขัดมันจริง ๆ
ต่อเติมเคาน์เตอร์ครัวให้ใช้ งานได้อเนกประสงค์มากขึ้นด้วยการทำท็อปให้ยื่น ออกมากลางห้อง ใช้เตรียมอาหารและเก็บอุปกรณ์ครัวต่าง ๆ ได้ ส่วนอีกด้านมีส่วนเว้าหลบเข้าไปใช้เก็บสตูล และใช้นั่งรับประทานอาหารแบบเร็ว ๆ ในตอนเช้า
ที่มา: roommag
สวนริมระเบียง-แต่งระเบียงคอนโด ให้เขียวสดชื่น The Greenery Terrace
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
Trend@home สัปดาห์นี้หยิบไอเดียเรื่องสวนริมระเบียงมานำเสนอไอเดีย ให้คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนระเบียงที่ใช้ตากผ้าให้กลายเป็นสวนสุดชิค...
เวลานี้ ไม่ว่าใครก็โหยหาธรรมชาติและพยายามหาพื้นที่สีเขียวมาใส่ไว้ในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่พักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์ที่อยากมีสวนเล็ก ๆ เพื่อให้ห้องน่าอยู่ หลายคนเคยคิด แต่ยังไม่ได้ลงมือทำสักที วันนี้เราจึงหยิบไอเดียเรื่องสวนริมระเบียงมานำเสนอไอเดีย ให้คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนระเบียงที่ใช้ตากผ้าให้กลายเป็นสวนสุดชิค
Before
สำรวจ พื้นที่ก่อนเลือกพรรณไม้มาจัด โดยเฉพาะเรื่องทิศและแสงแดด ส่วนการเลือกชนิดพรรณไม้ควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้ามีเวลาดูแลต้นไม้ไม่มากนัก ไม้ใบเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด ทั้งยังทำให้สวนริมระเบียงดูสดชื่น การเลือกใช้ไม้ใบ ควรนำไม้ใบที่ดูแลง่ายหลายชนิดมารวมกันแบบ Mix gardens มาดูกันว่าจะสามารถเปลี่ยนโฉมระเบียงเดิมให้สวยขึ้นได้อย่างไรบ้าง
After
A: ริมระเบียงที่มีชั้นวางของเลือกจัดวางไม้กระถางขนาดเล็ก และใช้พรรณไม้ที่ไม้ต้องรดน้ำเยอะ เช่น ไม้อวบน้ำ กระบองเพชร ทิลแอนด์เซีย วางรวมกับอุปกรณ์ทำสวนและของตกแต่ง จะช่วยให้ชั้นดูเป็นสวนเล็ก ๆ ที่มีรายละเอียดและมีชีวิตชีวา
B: เปลี่ยน ราวตากผ้าเป็นที่วางไม้ถาดจิ๋ว เลือกใช้กระถางขนาดเล็ก และปลูกต้นไม้ประเภทเดียวกัน แนะนำให้ใช้กระถางโทนสีเดียวกันจะทำให้ดูเข้าชุดกันมากขึ้นและสามารถยกออก ได้เมื่อต้องการตากผ้า
C: ถาด ผลไม้เดิม ๆ ที่มีอยู่สามารถนำมาปรับเป็นถาดรองต้นไม้จิ๋วเก๋ ๆ ได้ อะไรในครัวที่ไม่ได้ใช้ก็หยิบมาปรับใช้กับสวนริมระเบียงได้เช่นกัน หรือลองหาเศษกิ่งไม้แห้งมาวางประดับด้วยก็ได้ ไอเดียนี้จะทำให้เรามีสวนถาดจิ๋วแสนสวยใช้ประดับบ้าน
D: บริเวณ พื้นเน้นปลูกไม้กระถางที่มีทรงพุ่มสูงและไล่ระดับ ลงมาจนถึงส่วนด้านหน้าเพื่อให้สวนมีมิติ ดูชุ่มชื้น ลองปลูกชาหางกระรอกใบสีเขียวเข้ม สลับกับต้นผักชีลาวใบฝอยสีเขียวอ่อนๆ และใช้บีโกเนียที่มีใบหลากสีวางแทรกลงไป เฉดสีใบไม้เหล่านี้จะช่วยให้สวนดูสดชื่น อย่าลืมหาของประดับรูปปั้นเล็ก ๆ น้อย ๆ มาวางคละกันสวนจะดูน่ารักขึ้น
E: ผนัง ด้านบนเลือกใช้ไม้แขวนทำเป็นฉากธรรมชาติ เพราะไม้เลื้อย และไม้แขวนจะช่วยให้สวนระเบียงดูอ่อนหวานขึ้นมา แนะนำให้ปลูกเคราฤๅษี ไม้รากอากาศแขวนเป็นกลุ่ม แขวนกับไอวี่ไม้เถาว์เลื้อยลงมา
Tips
ถ้าจะรดน้ำไม้กระถางขนาดเล็ก ควรเลือกใช้บัวรดน้ำแบบท่อเพื่อกันไม่ให้น้ำกระเด็นเปียกพื้น
ใช้ ตัวปิดท่อที่พื้นที่ระเบียงภายนอก เพราะจะมีตะแกรงกรองเศษใบไม้และขยะที่สามารถเปิดและนำเศษต่าง ๆ ไปทิ้งได้ ช่วยลดการอุดตันของท่อระเบียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ควรแขวนต้นไม้ในระดับที่ตรงกับลมจากคอมเพรสเซอร์แอร์ เพราะต้นไม้ใด ๆ ก็ทนความร้อนของลมนี้ไม่ไหว
ห้อง หัวมุม หรือห้องที่มีผนังโปร่งเป็นแผงระแนงเหล็ก ลองปลูกไม้เลื้อยอย่าง ต้น กระเทียมเถาว์ (มีดอกสีม่วง) หรือ มันเทศใบดำ เพราะต้นไม้เหล่านี้ปลูกเลี้ยงง่ายและไม่ทิ้งใบให้เราต้องคอยเก็บกวาดบ่อย ๆ
หาถาดรองใต้กระถางเพื่อเก็บความชื้นและกันดินไหลเลอะเทอะที่พื้นระเบียง
ขอขอบคุณ Room ฉบับเดือน คอลัมน์ Get dirty
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
Trend@home สัปดาห์นี้หยิบไอเดียเรื่องสวนริมระเบียงมานำเสนอไอเดีย ให้คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนระเบียงที่ใช้ตากผ้าให้กลายเป็นสวนสุดชิค...
เวลานี้ ไม่ว่าใครก็โหยหาธรรมชาติและพยายามหาพื้นที่สีเขียวมาใส่ไว้ในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่พักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์ที่อยากมีสวนเล็ก ๆ เพื่อให้ห้องน่าอยู่ หลายคนเคยคิด แต่ยังไม่ได้ลงมือทำสักที วันนี้เราจึงหยิบไอเดียเรื่องสวนริมระเบียงมานำเสนอไอเดีย ให้คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนระเบียงที่ใช้ตากผ้าให้กลายเป็นสวนสุดชิค
Before
สำรวจ พื้นที่ก่อนเลือกพรรณไม้มาจัด โดยเฉพาะเรื่องทิศและแสงแดด ส่วนการเลือกชนิดพรรณไม้ควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้ามีเวลาดูแลต้นไม้ไม่มากนัก ไม้ใบเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด ทั้งยังทำให้สวนริมระเบียงดูสดชื่น การเลือกใช้ไม้ใบ ควรนำไม้ใบที่ดูแลง่ายหลายชนิดมารวมกันแบบ Mix gardens มาดูกันว่าจะสามารถเปลี่ยนโฉมระเบียงเดิมให้สวยขึ้นได้อย่างไรบ้าง
After
A: ริมระเบียงที่มีชั้นวางของเลือกจัดวางไม้กระถางขนาดเล็ก และใช้พรรณไม้ที่ไม้ต้องรดน้ำเยอะ เช่น ไม้อวบน้ำ กระบองเพชร ทิลแอนด์เซีย วางรวมกับอุปกรณ์ทำสวนและของตกแต่ง จะช่วยให้ชั้นดูเป็นสวนเล็ก ๆ ที่มีรายละเอียดและมีชีวิตชีวา
B: เปลี่ยน ราวตากผ้าเป็นที่วางไม้ถาดจิ๋ว เลือกใช้กระถางขนาดเล็ก และปลูกต้นไม้ประเภทเดียวกัน แนะนำให้ใช้กระถางโทนสีเดียวกันจะทำให้ดูเข้าชุดกันมากขึ้นและสามารถยกออก ได้เมื่อต้องการตากผ้า
C: ถาด ผลไม้เดิม ๆ ที่มีอยู่สามารถนำมาปรับเป็นถาดรองต้นไม้จิ๋วเก๋ ๆ ได้ อะไรในครัวที่ไม่ได้ใช้ก็หยิบมาปรับใช้กับสวนริมระเบียงได้เช่นกัน หรือลองหาเศษกิ่งไม้แห้งมาวางประดับด้วยก็ได้ ไอเดียนี้จะทำให้เรามีสวนถาดจิ๋วแสนสวยใช้ประดับบ้าน
D: บริเวณ พื้นเน้นปลูกไม้กระถางที่มีทรงพุ่มสูงและไล่ระดับ ลงมาจนถึงส่วนด้านหน้าเพื่อให้สวนมีมิติ ดูชุ่มชื้น ลองปลูกชาหางกระรอกใบสีเขียวเข้ม สลับกับต้นผักชีลาวใบฝอยสีเขียวอ่อนๆ และใช้บีโกเนียที่มีใบหลากสีวางแทรกลงไป เฉดสีใบไม้เหล่านี้จะช่วยให้สวนดูสดชื่น อย่าลืมหาของประดับรูปปั้นเล็ก ๆ น้อย ๆ มาวางคละกันสวนจะดูน่ารักขึ้น
E: ผนัง ด้านบนเลือกใช้ไม้แขวนทำเป็นฉากธรรมชาติ เพราะไม้เลื้อย และไม้แขวนจะช่วยให้สวนระเบียงดูอ่อนหวานขึ้นมา แนะนำให้ปลูกเคราฤๅษี ไม้รากอากาศแขวนเป็นกลุ่ม แขวนกับไอวี่ไม้เถาว์เลื้อยลงมา
Tips
ถ้าจะรดน้ำไม้กระถางขนาดเล็ก ควรเลือกใช้บัวรดน้ำแบบท่อเพื่อกันไม่ให้น้ำกระเด็นเปียกพื้น
ใช้ ตัวปิดท่อที่พื้นที่ระเบียงภายนอก เพราะจะมีตะแกรงกรองเศษใบไม้และขยะที่สามารถเปิดและนำเศษต่าง ๆ ไปทิ้งได้ ช่วยลดการอุดตันของท่อระเบียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ควรแขวนต้นไม้ในระดับที่ตรงกับลมจากคอมเพรสเซอร์แอร์ เพราะต้นไม้ใด ๆ ก็ทนความร้อนของลมนี้ไม่ไหว
ห้อง หัวมุม หรือห้องที่มีผนังโปร่งเป็นแผงระแนงเหล็ก ลองปลูกไม้เลื้อยอย่าง ต้น กระเทียมเถาว์ (มีดอกสีม่วง) หรือ มันเทศใบดำ เพราะต้นไม้เหล่านี้ปลูกเลี้ยงง่ายและไม่ทิ้งใบให้เราต้องคอยเก็บกวาดบ่อย ๆ
หาถาดรองใต้กระถางเพื่อเก็บความชื้นและกันดินไหลเลอะเทอะที่พื้นระเบียง
ขอขอบคุณ Room ฉบับเดือน คอลัมน์ Get dirty
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
เทคนิคการตกแต่งคอนโด ให้สมาร์ท
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
เทคนิคการตกแต่งคอนโด ให้สมาร์ท
แนวโน้มการเลือกที่พักอาศัยของคนเมืองในปัจจุบัน ที่เริ่มนิยมหันมาอยู่ “คอนโดมิเนียม” กันมากขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ที่พักอาศัยจึงไม่ได้จำกัดความเฉพาะคำว่า “บ้าน” เหมือนเมื่อก่อน แต่ยังหมายรวมถึง คอนโดมิเนียม อีกด้วย และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เลือกอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และกำลังวางแผนตกแต่งคอนโดมิเนียมอยู่แล้วล่ะก็... คงมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว รวมถึงคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้คอนโดมิเนียมซึ่งอาจมีพื้นที่จำกัด นั้นอยู่สบายและอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ?
เรามีคำตอบของการตกแต่งคอนโดมิเนียม จากผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำ เพื่อให้คุณมีเทคนิคดีๆ สำหรับการแต่งคอนโดมิเนียมอย่างชาญฉลาด นายประกิต พนานุรัตน์ สถาปนิกคอนโดมิเนียมพรอม พหลโยธิน 2 แนะหลักสำคัญของการตกแต่งคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ให้อยู่สบายเหมือนบ้าน โดยเริ่มต้นจากเทคนิคง่ายๆ เหล่านี้
จัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้มีความยืดหยุ่น
ด้วย การรวมพื้นที่บางส่วนเข้าด้วยกันในลักษณะของพื้นที่เอนกประสงค์ ปรับเปลี่ยนได้หลายประโยชน์ใช้สอยแต่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย อาทิ โต๊ะรับประทานอาหาร สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานได้ หรือ ใช้เป็นโต๊ะจัดเตรียมอาหาร, ชุดโซฟานั่งเล่น ใช้ได้ทั้งดูทีวี เล่นเกมส์ ทำงาน และ รับแขก เลือกใช้ระบบ wireless และ Note book ทำให้สามารถนั่งทำงานได้ในทุกๆส่วนของบ้านเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ
เน้นเรียบโล่ง โปร่ง สบายตา
เนื่อง จากมีพื้นที่จำกัด การตกแต่งจึงควรจะมีแนวทางที่ช่วยทำให้ห้องดูกว้าง สบาย ไม่อึดอัด พยายามเปิดช่องรับแสงจากภายนอกจะทำให้กว้าง มีมิติ สร้างความต่อเนื่องของพื้นที่โดยหลีกเลี่ยงการกั้นผนังทึบ หากจำเป็นอาจเลือกใช้วัสดุที่โปร่ง เช่น ฉากหรือม่านที่เลื่อนเปิดปิดได้ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามความเหมาะสม หรือเลือกใช้ชั้นวางของเตี้ยๆ เพื่อแบ่งพื้นที่ใช้สอยส่วนต่างๆ ในลักษณะ Low Partition ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ห้องดูไม่ทึบและอึดอัด
เทคนิค การตกแต่งที่นิยมใช้กันมากอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้วัสดุผิวมันวาว เช่น กระจกหรือสแตนเลส สร้างเงาสะท้อนเพื่อเพิ่มมิติให้กับพื้นที่ ช่วยให้พื้นที่ดูกว้างและมี Space มากขึ้น รวมถึงการเลือกใช้สีสำหรับการตกแต่งทั่วไป ควรมีสีที่อ่อน จะทำให้ห้องดูโปร่ง สบายตายิ่งขึ้น
การเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์สำหรับ ตกแต่ง ควรมีลักษณะที่โปร่ง เบา มีขาขนาดเล็ก เช่น เหล็ก หรือ สแตนเลสสตีล ที่มีขนาดที่เหมาะสม จะทำให้ห้องดูกว้างขึ้น หลีกเลี่ยงเฟอร์นิเจอร์ที่หนาหนัก และ มีขนาดใหญ่ คับห้อง จะทำให้ห้องดูแคบและอึดอัด
การใช้เฟอร์นิเจอร์แบบเอนกประสงค์ หรือหนึ่งชิ้นหลายหน้าที่ แทนการใช้เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้น เช่น เตียงที่มีที่เก็บของซ่อนอยู่ด้านใน, โซฟาซึ่งออกแบบให้มีที่เก็บของด้านล่าง หรือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถยืด หด พับเก็บ หรือมีล้อเลื่อน จะช่วยประหยัดเนื้อที่ได้มาก เพราะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน เมื่อไม่ใช้งานก็นำไปเก็บโดยไม่เปลืองเนื้อที่
จัดการข้าวของรกกวนใจ
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย จะทำให้ห้องพักน่าอยู่ จึงควรมีที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ที่เพียงพอ การเก็บของในคอนโดมิเนียม ควรใช้ตู้เก็บของ หรือ ตู้โชว์ ที่มีความลึกของตู้ที่เหมาะสม และ มีความยาว จะดีกว่าการกั้นเป็นห้องเก็บของ ซึ่งจะเปลืองพื้นที่มากกว่า ในปริมาณการเก็บของที่เท่ากัน ทางที่ดี ขอแนะว่าข้าวของชิ้นไหนที่ไม่จำเป็น ก็จัดการนำไปรีไซเคิลเสียบ้าง เพื่อความน่าอยู่ของที่พักอาศัย
ระบายอากาศที่ดีเพื่อห้องพักน่าอยู่
เรื่องกลิ่น ในห้องพักเป็นสิ่งที่สำคัญ ห้องพักที่มีการระบายอากาศที่ดี มีกลิ่นสะอาดไม่อับชื้น จะเป็นห้องที่น่าอยู่ กลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์มักจะมาจากการทำอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนไทย ในการอยู่อาศัยในคอนโดที่ มีพื้นที่ที่จำกัด จะต้องมีการจัดเตรียมระบบ ดูดควันและระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ การเลือกวัสดุสำหรับการตกแต่งภายใน ก็ควรจะคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เราควรจะเลือกใช้วัสดุ ที่ไม่เก็บกลิ่นอับ ทำความสะอาดได้ง่าย เช่น วัสดุที่มีพื้นแข็ง เช่น พื้นไม้ พื้นกระเบื้อง หลีกเลี่ยงการใช้ พื้นพรม ในพื้นที่ที่ต่อเนื่องกับบริเวณ Pantry โต๊ะเก้าอี้ ควรใช้วัสดุจำพวกผ้าเท่าที่จำเป็น วัสดุจำพวกหนัง จะเช็ดทำความสะอาดได้ดีกว่า
ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่แนะนำมาข้างต้น หวังว่าคุณจะสนุกกับการตกแต่งพื้นที่เล็กๆอย่างคอนโดมิเนียม ในแบบที่เป็นตัวคุณ เพื่อให้ทุกวันเป็นวันแห่งความสุขและอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
ที่มา Meedee
เทคนิคการตกแต่งคอนโด ให้สมาร์ท
แนวโน้มการเลือกที่พักอาศัยของคนเมืองในปัจจุบัน ที่เริ่มนิยมหันมาอยู่ “คอนโดมิเนียม” กันมากขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ที่พักอาศัยจึงไม่ได้จำกัดความเฉพาะคำว่า “บ้าน” เหมือนเมื่อก่อน แต่ยังหมายรวมถึง คอนโดมิเนียม อีกด้วย และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เลือกอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และกำลังวางแผนตกแต่งคอนโดมิเนียมอยู่แล้วล่ะก็... คงมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว รวมถึงคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้คอนโดมิเนียมซึ่งอาจมีพื้นที่จำกัด นั้นอยู่สบายและอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ?
เรามีคำตอบของการตกแต่งคอนโดมิเนียม จากผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำ เพื่อให้คุณมีเทคนิคดีๆ สำหรับการแต่งคอนโดมิเนียมอย่างชาญฉลาด นายประกิต พนานุรัตน์ สถาปนิกคอนโดมิเนียมพรอม พหลโยธิน 2 แนะหลักสำคัญของการตกแต่งคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ให้อยู่สบายเหมือนบ้าน โดยเริ่มต้นจากเทคนิคง่ายๆ เหล่านี้
จัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้มีความยืดหยุ่น
ด้วย การรวมพื้นที่บางส่วนเข้าด้วยกันในลักษณะของพื้นที่เอนกประสงค์ ปรับเปลี่ยนได้หลายประโยชน์ใช้สอยแต่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย อาทิ โต๊ะรับประทานอาหาร สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานได้ หรือ ใช้เป็นโต๊ะจัดเตรียมอาหาร, ชุดโซฟานั่งเล่น ใช้ได้ทั้งดูทีวี เล่นเกมส์ ทำงาน และ รับแขก เลือกใช้ระบบ wireless และ Note book ทำให้สามารถนั่งทำงานได้ในทุกๆส่วนของบ้านเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ
เน้นเรียบโล่ง โปร่ง สบายตา
เนื่อง จากมีพื้นที่จำกัด การตกแต่งจึงควรจะมีแนวทางที่ช่วยทำให้ห้องดูกว้าง สบาย ไม่อึดอัด พยายามเปิดช่องรับแสงจากภายนอกจะทำให้กว้าง มีมิติ สร้างความต่อเนื่องของพื้นที่โดยหลีกเลี่ยงการกั้นผนังทึบ หากจำเป็นอาจเลือกใช้วัสดุที่โปร่ง เช่น ฉากหรือม่านที่เลื่อนเปิดปิดได้ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามความเหมาะสม หรือเลือกใช้ชั้นวางของเตี้ยๆ เพื่อแบ่งพื้นที่ใช้สอยส่วนต่างๆ ในลักษณะ Low Partition ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ห้องดูไม่ทึบและอึดอัด
เทคนิค การตกแต่งที่นิยมใช้กันมากอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้วัสดุผิวมันวาว เช่น กระจกหรือสแตนเลส สร้างเงาสะท้อนเพื่อเพิ่มมิติให้กับพื้นที่ ช่วยให้พื้นที่ดูกว้างและมี Space มากขึ้น รวมถึงการเลือกใช้สีสำหรับการตกแต่งทั่วไป ควรมีสีที่อ่อน จะทำให้ห้องดูโปร่ง สบายตายิ่งขึ้น
การเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์สำหรับ ตกแต่ง ควรมีลักษณะที่โปร่ง เบา มีขาขนาดเล็ก เช่น เหล็ก หรือ สแตนเลสสตีล ที่มีขนาดที่เหมาะสม จะทำให้ห้องดูกว้างขึ้น หลีกเลี่ยงเฟอร์นิเจอร์ที่หนาหนัก และ มีขนาดใหญ่ คับห้อง จะทำให้ห้องดูแคบและอึดอัด
การใช้เฟอร์นิเจอร์แบบเอนกประสงค์ หรือหนึ่งชิ้นหลายหน้าที่ แทนการใช้เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้น เช่น เตียงที่มีที่เก็บของซ่อนอยู่ด้านใน, โซฟาซึ่งออกแบบให้มีที่เก็บของด้านล่าง หรือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถยืด หด พับเก็บ หรือมีล้อเลื่อน จะช่วยประหยัดเนื้อที่ได้มาก เพราะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน เมื่อไม่ใช้งานก็นำไปเก็บโดยไม่เปลืองเนื้อที่
จัดการข้าวของรกกวนใจ
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย จะทำให้ห้องพักน่าอยู่ จึงควรมีที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ที่เพียงพอ การเก็บของในคอนโดมิเนียม ควรใช้ตู้เก็บของ หรือ ตู้โชว์ ที่มีความลึกของตู้ที่เหมาะสม และ มีความยาว จะดีกว่าการกั้นเป็นห้องเก็บของ ซึ่งจะเปลืองพื้นที่มากกว่า ในปริมาณการเก็บของที่เท่ากัน ทางที่ดี ขอแนะว่าข้าวของชิ้นไหนที่ไม่จำเป็น ก็จัดการนำไปรีไซเคิลเสียบ้าง เพื่อความน่าอยู่ของที่พักอาศัย
ระบายอากาศที่ดีเพื่อห้องพักน่าอยู่
เรื่องกลิ่น ในห้องพักเป็นสิ่งที่สำคัญ ห้องพักที่มีการระบายอากาศที่ดี มีกลิ่นสะอาดไม่อับชื้น จะเป็นห้องที่น่าอยู่ กลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์มักจะมาจากการทำอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนไทย ในการอยู่อาศัยในคอนโดที่ มีพื้นที่ที่จำกัด จะต้องมีการจัดเตรียมระบบ ดูดควันและระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ การเลือกวัสดุสำหรับการตกแต่งภายใน ก็ควรจะคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เราควรจะเลือกใช้วัสดุ ที่ไม่เก็บกลิ่นอับ ทำความสะอาดได้ง่าย เช่น วัสดุที่มีพื้นแข็ง เช่น พื้นไม้ พื้นกระเบื้อง หลีกเลี่ยงการใช้ พื้นพรม ในพื้นที่ที่ต่อเนื่องกับบริเวณ Pantry โต๊ะเก้าอี้ ควรใช้วัสดุจำพวกผ้าเท่าที่จำเป็น วัสดุจำพวกหนัง จะเช็ดทำความสะอาดได้ดีกว่า
ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่แนะนำมาข้างต้น หวังว่าคุณจะสนุกกับการตกแต่งพื้นที่เล็กๆอย่างคอนโดมิเนียม ในแบบที่เป็นตัวคุณ เพื่อให้ทุกวันเป็นวันแห่งความสุขและอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
ที่มา Meedee
เทคนิคแต่งคอนโด พื้นที่จำกัด ให้กว้างขวาง
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
ปัญหาของคนที่อาศัยอยู่คอนโดก็ คือพื้นที่ใช้สอยที่มีจำกัด โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ไปนานๆ ของตกแต่งและของใช้ต่างๆ ที่เราซื้อเพิ่มเข้ามา ล้วนแต่ทำให้คอนโดของเราดูแคบและรกไปถนัดตา วันนี้ Gmember จะพาไปพบกับอินทีเรียดีไซเนอร์ เพื่อขอคำแนะนำสำหรับตกแต่งคอนโดหลังเก่า ให้มีพื้นที่กว้าง โล่ง โปร่ง และอยู่สบาย
การจัดพื้นที่ใช้สอยภายในคอนโดนั้น ควรเลี่ยงการวางเฟอร์นิเจอร์ขวางกั้นบริเวณทางเดิน เพื่อให้ทางเดินดูต่อเนื่อง
การ จัดวางตู้ และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ควรจะจัดให้ชิดติดผนังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทนที่จะยกลอยอยู่กลางห้อง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้พื้นที่ดูโล่งและกว้างมากที่สุด
การตกแต่งภายในนั้น ควรออกแบบโดยใช้โทนสีอ่อน และวอลล์เปเปอร์ที่ดูเรียบๆ ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดมากเกินไป
พวกตู้และชั้นวางของ ควรทำเป็น Built-in เพื่อให้ดูเป็นส่วนเดียวกับผนัง ประหยัดพื้นที่ และช่วยพรางตาได้ดีมากดีเทียว
พวก ตู้และโต๊ะรับแขก สามารถยกลอยขึ้นจากพื้น หลบมุมมองสายตา ทำให้เห็นเนื้อที่พื้นมากขึ้น นอกจากนี้ ตู้เองจะดูเบาขึ้นเพราะเสมือนถูกยกลอยอยู่ด้วย
การเปิดผนัง ระหว่างห้องน้ำ และห้องนอนด้วยการใช้บานเฟี้ยม หรือบานกระจกขุ่น ก็จะช่วยให้ห้องน้ำดูกว้าง และโล่งขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะสำหรับห้องน้ำที่ไม่ได้ติดหน้าต่างอยู่แล้วนั้น จะเป็นการช่วยนำ แสงธรรมชาติเข้ามาสู่ห้องน้ำได้
สำหรับห้องน้ำ ทำเป็นหลืบวางของแทนที่จะเป็นชั้นวางของ ทำให้ห้องดูเรียบๆ และกว้างขึ้นได้อีก
ควรใช้ม่านหรือมู่ลี่สีอ่อนๆ บริเวณกระจก เพื่อให้สามารถเปิดรับแสงธรรมชาติ และมองเห็นวิวภายนอกได้เต็มที่
การเลือกเฟอร์นิเจอร์ ควรให้มีสัดส่วนพอดีกับพื้นที่ ระวังอย่าให้มีขนาดใหญ่หรือสูงเกินไป จะทำให้ห้องดูอึดอัด และคับแคบ
เลือก วัสดุ และเฟอร์นิเจอร์โทนสีอ่อน เพราะให้ความรู้สึกของพื้นที่กว้างขวางกว่าสีเข้ม นอกจากนี้ยังช่วยสะท้อน แสงธรรมชาติที่เข้ามาจากทางหน้าต่างได้ในปริมาณที่มาก และลึกเข้ามายังพื้นที่ส่วนที่อยู่ห่างจากหน้าต่างได้ดี อีกด้วย
ข้อมูลจาก Geocities.com/danuingroove
ปัญหาของคนที่อาศัยอยู่คอนโดก็ คือพื้นที่ใช้สอยที่มีจำกัด โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ไปนานๆ ของตกแต่งและของใช้ต่างๆ ที่เราซื้อเพิ่มเข้ามา ล้วนแต่ทำให้คอนโดของเราดูแคบและรกไปถนัดตา วันนี้ Gmember จะพาไปพบกับอินทีเรียดีไซเนอร์ เพื่อขอคำแนะนำสำหรับตกแต่งคอนโดหลังเก่า ให้มีพื้นที่กว้าง โล่ง โปร่ง และอยู่สบาย
การจัดพื้นที่ใช้สอยภายในคอนโดนั้น ควรเลี่ยงการวางเฟอร์นิเจอร์ขวางกั้นบริเวณทางเดิน เพื่อให้ทางเดินดูต่อเนื่อง
การ จัดวางตู้ และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ควรจะจัดให้ชิดติดผนังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทนที่จะยกลอยอยู่กลางห้อง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้พื้นที่ดูโล่งและกว้างมากที่สุด
การตกแต่งภายในนั้น ควรออกแบบโดยใช้โทนสีอ่อน และวอลล์เปเปอร์ที่ดูเรียบๆ ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดมากเกินไป
พวกตู้และชั้นวางของ ควรทำเป็น Built-in เพื่อให้ดูเป็นส่วนเดียวกับผนัง ประหยัดพื้นที่ และช่วยพรางตาได้ดีมากดีเทียว
พวก ตู้และโต๊ะรับแขก สามารถยกลอยขึ้นจากพื้น หลบมุมมองสายตา ทำให้เห็นเนื้อที่พื้นมากขึ้น นอกจากนี้ ตู้เองจะดูเบาขึ้นเพราะเสมือนถูกยกลอยอยู่ด้วย
การเปิดผนัง ระหว่างห้องน้ำ และห้องนอนด้วยการใช้บานเฟี้ยม หรือบานกระจกขุ่น ก็จะช่วยให้ห้องน้ำดูกว้าง และโล่งขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะสำหรับห้องน้ำที่ไม่ได้ติดหน้าต่างอยู่แล้วนั้น จะเป็นการช่วยนำ แสงธรรมชาติเข้ามาสู่ห้องน้ำได้
สำหรับห้องน้ำ ทำเป็นหลืบวางของแทนที่จะเป็นชั้นวางของ ทำให้ห้องดูเรียบๆ และกว้างขึ้นได้อีก
ควรใช้ม่านหรือมู่ลี่สีอ่อนๆ บริเวณกระจก เพื่อให้สามารถเปิดรับแสงธรรมชาติ และมองเห็นวิวภายนอกได้เต็มที่
การเลือกเฟอร์นิเจอร์ ควรให้มีสัดส่วนพอดีกับพื้นที่ ระวังอย่าให้มีขนาดใหญ่หรือสูงเกินไป จะทำให้ห้องดูอึดอัด และคับแคบ
เลือก วัสดุ และเฟอร์นิเจอร์โทนสีอ่อน เพราะให้ความรู้สึกของพื้นที่กว้างขวางกว่าสีเข้ม นอกจากนี้ยังช่วยสะท้อน แสงธรรมชาติที่เข้ามาจากทางหน้าต่างได้ในปริมาณที่มาก และลึกเข้ามายังพื้นที่ส่วนที่อยู่ห่างจากหน้าต่างได้ดี อีกด้วย
ข้อมูลจาก Geocities.com/danuingroove
การตกแต่งครัว ในอาคารชุด
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
ครัวในอาคารชุดหรือคอนโด มักมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของการตกแต่งภายใน ซึ่งทำให้การตกแต่งในบริเวณควรจะสอดคล้องกับการตกแต่งในบริเวณอื่น โดยที่ควรจัดวางอย่างชาญฉลาดและใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอยให้มากที่สุด เพราะมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ในส่วนของครัวในห้องชุดนี้ มักมีบริเวณที่ติดกับห้องอื่นและเปิดโล่ง
ดังนั้น ควรพิจารณาการประกอบอาหารให้ดีด้วยเนื่องจากควันและกลิ่นอาหารสามารถลอยเข้าไปสู่ห้องอื่นได้ง่ายและสะสมตัวในผ้าม่านและวัสดุประเภทเส้นใยเช่น ผ้าบุ เป็นต้น จึงควรมีการติดที่ดูดควันคุณภาพสูงหรือหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารที่มีกลิ่นรุนแรง และเลือกใช้วัสดุที่ทำความสะอาดได้ง่ายไม่ดูดซับกลิ่น และควรอยู่ห่างจากห้องนั่งเล่นและห้องนอนเพื่อป้องการกลิ่นรบกวน หากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรสร้างให้มีผนังปิดมิดชิด นอกจากนี้ควรมีการติดตั้งสัญญาณกันไฟไหม้ (FIRE AND SMOKE DETECTOR) เพื่อความปลอดภัยด้วย
แพนทรี่ขนาดเล็กในห้องชุด มีประตูเลื่อน กรอบอะลูมิเนียมสีดำกรุกระจกใส เพื่อกั้นไม่ให้ควันออกมารบกวนห้องอื่นๆ ชุดครัวสีอ่อนทำให้พื้นที่ขนาดเล็กดูไม่แคบ
แพนทรี่ขนาดกะทัดรัด มีพื้นที่การทำงานครบครัน ปรุงอาหาร เตรียมอาหารและเสิร์ฟอาหาร มีบานประตูกั้นแยกเพื่อความเป็นสัดส่วน
ครัวในอาคารชุดหรือคอนโด ซึ่งโดยส่วนใหญ่มีเนื้อที่จำกัด ดังนั้นจึงจัดให้ครัวและส่วนรับประทานอาหารมีพื้นที่เปิดโล่งต่อเนื่องถึงกัน เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า แต่อย่างไรก็ดี ในการทำอาหารต้องวางแผนให้รัดกุมว่าอาหารที่ทำเป็นประจำนั้นมีกลิ่นและควันรุนแรงหรือไม่เพราะจะทำให้ครัวและห้องชุดทั้งห้องมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ แม้จะมีเครื่องระบายอากาศช่วย การทำที่นั่งรับประทานเป็นแบบบิลท์อิน ด้านล่างเป็นตู้เก็บของ การทำชั้นวางของที่ผนังเป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่ที่มีอย่างจำกัดได้อย่างคุ้มค่า
ครัวในอาคารชุด ที่ใช้โทนสีขาวทั้งหมด เลือกเว้นจังหวะของตู้ลอยไม่ให้ติดกันเป็นแผงยาว ทำให้ดูโปร่งเบา ไม่น่าเบื่อ
การตกแต่งห้องด้วยสีอ่อนหรือสีขาวช่วยให้ครัวที่มีขนาดเล็กแลดูโปร่ง สบาย ไม่อึดอัด แต่ควรเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่ทำความสะอาดง่าย เช่น หิน วัสดุสังเคราะห์ ไม้พ่นสี ลามิเนต กระเบื้องเซรามิก เป็นต้น
ที่มา Decorreport
ครัวในอาคารชุดหรือคอนโด มักมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของการตกแต่งภายใน ซึ่งทำให้การตกแต่งในบริเวณควรจะสอดคล้องกับการตกแต่งในบริเวณอื่น โดยที่ควรจัดวางอย่างชาญฉลาดและใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอยให้มากที่สุด เพราะมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ในส่วนของครัวในห้องชุดนี้ มักมีบริเวณที่ติดกับห้องอื่นและเปิดโล่ง
ดังนั้น ควรพิจารณาการประกอบอาหารให้ดีด้วยเนื่องจากควันและกลิ่นอาหารสามารถลอยเข้าไปสู่ห้องอื่นได้ง่ายและสะสมตัวในผ้าม่านและวัสดุประเภทเส้นใยเช่น ผ้าบุ เป็นต้น จึงควรมีการติดที่ดูดควันคุณภาพสูงหรือหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารที่มีกลิ่นรุนแรง และเลือกใช้วัสดุที่ทำความสะอาดได้ง่ายไม่ดูดซับกลิ่น และควรอยู่ห่างจากห้องนั่งเล่นและห้องนอนเพื่อป้องการกลิ่นรบกวน หากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรสร้างให้มีผนังปิดมิดชิด นอกจากนี้ควรมีการติดตั้งสัญญาณกันไฟไหม้ (FIRE AND SMOKE DETECTOR) เพื่อความปลอดภัยด้วย
แพนทรี่ขนาดเล็กในห้องชุด มีประตูเลื่อน กรอบอะลูมิเนียมสีดำกรุกระจกใส เพื่อกั้นไม่ให้ควันออกมารบกวนห้องอื่นๆ ชุดครัวสีอ่อนทำให้พื้นที่ขนาดเล็กดูไม่แคบ
แพนทรี่ขนาดกะทัดรัด มีพื้นที่การทำงานครบครัน ปรุงอาหาร เตรียมอาหารและเสิร์ฟอาหาร มีบานประตูกั้นแยกเพื่อความเป็นสัดส่วน
ครัวในอาคารชุดหรือคอนโด ซึ่งโดยส่วนใหญ่มีเนื้อที่จำกัด ดังนั้นจึงจัดให้ครัวและส่วนรับประทานอาหารมีพื้นที่เปิดโล่งต่อเนื่องถึงกัน เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า แต่อย่างไรก็ดี ในการทำอาหารต้องวางแผนให้รัดกุมว่าอาหารที่ทำเป็นประจำนั้นมีกลิ่นและควันรุนแรงหรือไม่เพราะจะทำให้ครัวและห้องชุดทั้งห้องมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ แม้จะมีเครื่องระบายอากาศช่วย การทำที่นั่งรับประทานเป็นแบบบิลท์อิน ด้านล่างเป็นตู้เก็บของ การทำชั้นวางของที่ผนังเป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่ที่มีอย่างจำกัดได้อย่างคุ้มค่า
ครัวในอาคารชุด ที่ใช้โทนสีขาวทั้งหมด เลือกเว้นจังหวะของตู้ลอยไม่ให้ติดกันเป็นแผงยาว ทำให้ดูโปร่งเบา ไม่น่าเบื่อ
การตกแต่งห้องด้วยสีอ่อนหรือสีขาวช่วยให้ครัวที่มีขนาดเล็กแลดูโปร่ง สบาย ไม่อึดอัด แต่ควรเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่ทำความสะอาดง่าย เช่น หิน วัสดุสังเคราะห์ ไม้พ่นสี ลามิเนต กระเบื้องเซรามิก เป็นต้น
ที่มา Decorreport
เทคนิคการแต่งคอนโดให้สวยงาม
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
คุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่คอนโดหรือเปล่า หากใช่ ยินดีด้วยค่ะ เพราะวันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ และเทคนิคในการตกแต่งคอนโดมาฝากค่ะ ท่านที่ไม่ได้อยู่คอนโด ก็สามารถประยุกต์เอาไปใช้ได้นะคะ ตามมาดูกันดีกว่าค่ะ
เทคนิคในการตกแต่งคอนโดสามารถแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ๆ ได้ 4 หัวข้อดังนี้ค่ะ
คุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่คอนโดหรือเปล่า หากใช่ ยินดีด้วยค่ะ เพราะวันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ และเทคนิคในการตกแต่งคอนโดมาฝากค่ะ ท่านที่ไม่ได้อยู่คอนโด ก็สามารถประยุกต์เอาไปใช้ได้นะคะ ตามมาดูกันดีกว่าค่ะ
เทคนิคในการตกแต่งคอนโดสามารถแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ๆ ได้ 4 หัวข้อดังนี้ค่ะ
1. จัดสรรพื้นที่ใช้สอย โดยอาจรวมพื้นที่บางส่วนเข้าด้วยกันในลักษณะของพื้นที่เอนกประสงค์ ที่สามารถใช้งานร่วมกันได้หลาย ๆ อย่าง, จัดวางเตียงไว้ปลายสุดของห้อง และวางเครื่องเรือนให้ชิดผนังด้านใดด้านหนึ่ง
2. ตกแต่งให้ดูเรียบโล่ง โปร่งสบาย พยายามเปิดช่องแสงเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ภายนอก ทำให้บ้านดูกว้างและมีมิติ สร้างความต่อเนื่องของพื้นที่โดยไม่ควรกั้นผนังทึบ หากจำเป็นให้กั้นด้วยวัสดุที่โปร่ง เช่น ฉากหรือม่านที่เลื่อนเปิดปิดได้ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามความเหมาะสม
ในภาพนี้ผู้ออกแบบได้ใช้ผ่าม่านโปร่งเป็นตัวแบ่งพื้นที่ใช้สอยระหว่างห้องนอนกับพื้นที่ส่วนอื่น ผ้าม่านนี้ช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนตัว แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงบรรยากาศที่ดูโปร่งสบายไว้ได้
หรืออาจใช้ประตูบานเลื่อนที่เลื่อนปิดเปิดได้ ซึ่งสามารถเปิดออกให้เกิดพื้นที่ต่อเนื่องได้สะดวกทุกเวลาที่ต้องการ ในภาพนี้ใช้ประตูบานเลื่อนกระจกฝ้า กั้นแบ่งพื้นที่ห้องนอนและห้องนั่งเล่น ซึ่งในเวลากลางวันสามารถเปิดทิ้งไว้เพื่อให้ เกิด space และบรรยากาศที่โปร่งสบาย
หรือช้ฉากกั้นแบบโปร่งแสงแบ่งพื้นที่ห้องนอนเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนตัว หรืออาจใช้เป็นฉากกั้นพื้นที่ใช้สอยส่วนต่างๆ ได้โดยที่ยังคงความรู้สึกต่อเนื่องของพื้นที่อยู่ และสามารถพับเก็บเข้าไปเมื่อไม่ได้ใช้งาน
การใช้ชั้นวางของเตี้ยๆ เพื่อแบ่งพื้นที่ใช้สอยส่วนต่างๆ ในลักษณะเป็น low partition ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ห้องดูไม่ทึบและอึดอัด
ตัวอย่างการใช้ชั้นวางของแบบโปร่งเป็นตัวแบ่งพื้นที่ใช้งานระหว่างห้องนั่งเล่น กับพื้นที่ส่วนอื่นของบ้าน
เทคนิคการตกแต่งที่ใช้กันมากอีกวิธีหนึ่ง คือการใช้วัสดุผิวมันวาว เช่น กระจกหรือสเตนเลส สร้างเงาสะท้อนเพื่อเพิ่มมิติให้กับพื้นที่ ช่วยให้พื้นที่ดูกว้างหรือมี space เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้การทาสีเข้มที่ผนังห้องด้านหนึ่ง นอกจากจะเป็นฉากรับภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยสร้างมิติในเชิงลึกให้กับห้อง ทำให้ห้องดูเหมือนมีพื้นที่กว้างขึ้น
3. เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะสม
ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์ หรือหนึ่งชิ้นหลายหน้าที่ (multi-tasking) แทนการใช้เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นนั้น ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอยทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เช่น เตียงที่ด้านล่างออกแบบเป็นลิ้นชักเก็บของได้ด้วย
เตียงนี้ก็มีที่เก็บของซ่อนอยู่ข้างใน ในลักษณะที่เรียกว่า hidden storage ในภาพเป็นโซฟานั่งเล่นที่ออกแบบให้มีลิ้นชักเก็บของใต้ที่นั่ง
โซฟาพักผ่อนหรือ Daybed ซึ่งออกแบบให้มีที่เก็บของด้านล่างด้วย, โต๊ะกลางที่ออกแบบให้ทำหน้าที่เป็นที่เก็บของอีกหน้าที่หนึ่ง, เก้าอี้นวม หรือ ottoman ซึ่งออกแบบให้มีที่เก็บของซ่อนอยู่ด้านใน, โต๊ะที่ออกแบบให้มีหน้าที่อเนกประสงค์ สามารถปรับใช้เป็นโต๊ะทำงาน และโต๊ะแต่งตัวได้ในเวลาเดียวกัน
การใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถยืด หด พับเก็บได้ จะช่วยประหยัดเนื้อที่ได้มาก เพราะทำให้ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานได้อย่างสะดวก โดยไม่เปลืองเนื้อที่ เมื่อไม่ใช้ก็จัดเก็บ และหากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถเก็บแบบซ้อนชิ้นเล็กในชิ้นใหญ่ ได้ จะสามารถช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น
4. จัดการและจัดเก็บสิ่งของในบ้าน จำไว้ว่าบ้านเล็ก ๆ ควรมีของน้อย ๆ นะคะ
หวังว่าทุกคนคงสนุกกับการจัดแต่งบ้านค่ะ ท้ายนี้ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจากเว็บไซต์และนิตยสารบ้านและสวน
ที่มา: catadmin.cattele
เทคนิคการจัด คอนโด ให้เป็น บ้าน สำหรับคนรุ่นใหม่
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
ห้องลอยฟ้ากลางอากาศที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริม ทรัพย์ได้ขยายและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะกรุงเทพฯได้สะท้อนให้เห็น ถึงการดำรงชีวิตของคนยุคใหม่ที่เล็งเห็นถึงความสะดวกสบายและสิ่งอำนวยความ สะดวกต่างๆ ทำให้ คอนโด เป็นคำตอบของกลุ่มคนส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี จากการที่มีนักจิตวิทยาราชบัณฑิต ได้ให้ข้อมูลว่า คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ มีลักษณะ 7C ได้แก่
1. ใช้บัตรเครดิต (Credit Card)
2. มีรถยนต์ส่วนบุคคล (Car)
3. ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer)
4. ในการสื่อสาร (Communication)
5. เป็นสมาชิกสโมสร (Club)
6. ใช้ถุงยางอนามัย (Condom)
7. อยู่ในคอนโดมิเนียม (Condominium)
ซึ่งหากเราดูโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณาต่างๆ เราจะเห็นโฆษณาของคอนโดแต่ ละโครงการที่มีจุดขายที่ต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก ความหรูหรา ความปลอดภัย หลากหลายโครงการ โดยสิ่งเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า เขานิยมอาศัยอยู่บน “คอนโด” มากกว่า “บ้าน” ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม แต่เมื่อได้ลองสอบถามผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดหลายๆ ท่านก็ได้คำตอบว่า แม้ว่าราคาของคอนโดจะพอๆกับบ้าน หรืออาจราคาสูงกว่าแต่...
- คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่มักมีทำเลอยู่ในเมือง เดินทางสะดวกสาย ใกล้รถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดิน
- หาอาหารรับประทานสะดวง
- หากต้องอยู่คนเดียว อยู่คอนโด จะรู้สึกปลอดภัยกว่าอยู่บ้าน
- มีพื้นที่ไม่มากนัก ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาดูแลทำความสะอาดมาก
- อยู่คอนโดทำให้ประหยัดค่าน้ำมันรถ ค่าเสื่อมของรถ ค่าซ่อมรถ และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้นเพราะประหยัดเวลาในการเดินทาง
- มีอิสระในการดำเนินชีวิต
อย่างไรก็ดี “บ้าน” ที่มีสนามหญ้าสีเขียว มีบริเวณกว้างๆ และมีคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนยาดีที่คอยเสริมสร้างกำลังใจให้มีคุณภาพชีวิต ที่ดีมากขึ้นทุกวัน แต่หากเราจำเป็นต้องอยู่คอนโดจริงๆ ลองมาดูกันว่า จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เรามีความรู้สึกว่า “บ้าน” ได้ย่อส่วนลงได้ในห้องๆ เดียว
พยายามตกแต่งห้องให้เรียบง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์มากชิ้นและขนาดใหญ่ เราควรเลือกใช้แบบที่ใช้งานได้หลากหลาย เช่น โต๊ะอาหารที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานได้ เฟอร์นิเจอร์ Build-in อาจจะทำเฉพาะตู้เสื้อผ้าหรือเคาน์เตอร์ครัวก็พอ เพราะคอนโดส่วนใหญ่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด
เฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวมีตัวเลือกที่ดี เพราะสามารถโยกย้ายและปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้ง่าย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย หากเราต้องการจัดห้องใหม่ ปรับเปลี่ยนมุมก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
กรุผนังบางส่วนด้วยกระจกเงาบานใหญ่ ห้องที่ดูแคบก็จะกว้างขึ้นถนัดตา และการที่เลือกทาสีห้องด้วยโทรสีอ่อนก็ช่วยได้อีกเช่นกัน แต่ถ้าอยากให้ห้องมีสีสัน อาจจะทาสีผนังสักมุมด้วยสีที่เข้มขึ้นเพื่อเป็นการสร้างจุดเด่นให้ห้องก็ได้ รวมไปถึงการใช้โซฟาหรือของตกแต่งก็ดูเก๋ไปอีกแบบ เช่น การใช้โซฟาสีแดงเพื่อดัดกับสีของห้อง หรือหารูปภาพสีสดใสมาแขวนไว้ก็ทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก
สร้างมุมสีเขียว เพราะคอนโดมี พื้นที่ใช้สอยที่ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นเราควรจัดสวนตามสไตล์ห้องลอยฟ้าโดยการใช้สวนกระถาง สางริมระเบียงหรือตามมุมห้อง แต่หากไม่มีพื้นที่จริงๆ จะใช้เป็นแจกันดอกไม้ก็ได้เช่นกันเพื่อให้บรรยากาศในห้องดูสดใสด้วยธรรมชาติ
ทั้งนี้ ห้องสวยอย่างเดียวคงไม่พอ ผู้ที่อยู่ในคอนโดเองต้องร่วมมือกันรักษาความสะอาดและช่วยเป็นหูเป็นตากัน เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันก็เป็นเรื่องที่ทำให้มวลความสุขเพิ่มขึ้นได้ดีที เดียว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ห้องลอยฟ้ากลางอากาศที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริม ทรัพย์ได้ขยายและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะกรุงเทพฯได้สะท้อนให้เห็น ถึงการดำรงชีวิตของคนยุคใหม่ที่เล็งเห็นถึงความสะดวกสบายและสิ่งอำนวยความ สะดวกต่างๆ ทำให้ คอนโด เป็นคำตอบของกลุ่มคนส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี จากการที่มีนักจิตวิทยาราชบัณฑิต ได้ให้ข้อมูลว่า คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ มีลักษณะ 7C ได้แก่
1. ใช้บัตรเครดิต (Credit Card)
2. มีรถยนต์ส่วนบุคคล (Car)
3. ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer)
4. ในการสื่อสาร (Communication)
5. เป็นสมาชิกสโมสร (Club)
6. ใช้ถุงยางอนามัย (Condom)
7. อยู่ในคอนโดมิเนียม (Condominium)
ซึ่งหากเราดูโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณาต่างๆ เราจะเห็นโฆษณาของคอนโดแต่ ละโครงการที่มีจุดขายที่ต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก ความหรูหรา ความปลอดภัย หลากหลายโครงการ โดยสิ่งเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า เขานิยมอาศัยอยู่บน “คอนโด” มากกว่า “บ้าน” ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม แต่เมื่อได้ลองสอบถามผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดหลายๆ ท่านก็ได้คำตอบว่า แม้ว่าราคาของคอนโดจะพอๆกับบ้าน หรืออาจราคาสูงกว่าแต่...
- คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่มักมีทำเลอยู่ในเมือง เดินทางสะดวกสาย ใกล้รถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดิน
- หาอาหารรับประทานสะดวง
- หากต้องอยู่คนเดียว อยู่คอนโด จะรู้สึกปลอดภัยกว่าอยู่บ้าน
- มีพื้นที่ไม่มากนัก ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาดูแลทำความสะอาดมาก
- อยู่คอนโดทำให้ประหยัดค่าน้ำมันรถ ค่าเสื่อมของรถ ค่าซ่อมรถ และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้นเพราะประหยัดเวลาในการเดินทาง
- มีอิสระในการดำเนินชีวิต
อย่างไรก็ดี “บ้าน” ที่มีสนามหญ้าสีเขียว มีบริเวณกว้างๆ และมีคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนยาดีที่คอยเสริมสร้างกำลังใจให้มีคุณภาพชีวิต ที่ดีมากขึ้นทุกวัน แต่หากเราจำเป็นต้องอยู่คอนโดจริงๆ ลองมาดูกันว่า จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เรามีความรู้สึกว่า “บ้าน” ได้ย่อส่วนลงได้ในห้องๆ เดียว
พยายามตกแต่งห้องให้เรียบง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์มากชิ้นและขนาดใหญ่ เราควรเลือกใช้แบบที่ใช้งานได้หลากหลาย เช่น โต๊ะอาหารที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานได้ เฟอร์นิเจอร์ Build-in อาจจะทำเฉพาะตู้เสื้อผ้าหรือเคาน์เตอร์ครัวก็พอ เพราะคอนโดส่วนใหญ่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด
เฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวมีตัวเลือกที่ดี เพราะสามารถโยกย้ายและปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้ง่าย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย หากเราต้องการจัดห้องใหม่ ปรับเปลี่ยนมุมก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
กรุผนังบางส่วนด้วยกระจกเงาบานใหญ่ ห้องที่ดูแคบก็จะกว้างขึ้นถนัดตา และการที่เลือกทาสีห้องด้วยโทรสีอ่อนก็ช่วยได้อีกเช่นกัน แต่ถ้าอยากให้ห้องมีสีสัน อาจจะทาสีผนังสักมุมด้วยสีที่เข้มขึ้นเพื่อเป็นการสร้างจุดเด่นให้ห้องก็ได้ รวมไปถึงการใช้โซฟาหรือของตกแต่งก็ดูเก๋ไปอีกแบบ เช่น การใช้โซฟาสีแดงเพื่อดัดกับสีของห้อง หรือหารูปภาพสีสดใสมาแขวนไว้ก็ทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก
สร้างมุมสีเขียว เพราะคอนโดมี พื้นที่ใช้สอยที่ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นเราควรจัดสวนตามสไตล์ห้องลอยฟ้าโดยการใช้สวนกระถาง สางริมระเบียงหรือตามมุมห้อง แต่หากไม่มีพื้นที่จริงๆ จะใช้เป็นแจกันดอกไม้ก็ได้เช่นกันเพื่อให้บรรยากาศในห้องดูสดใสด้วยธรรมชาติ
ทั้งนี้ ห้องสวยอย่างเดียวคงไม่พอ ผู้ที่อยู่ในคอนโดเองต้องร่วมมือกันรักษาความสะอาดและช่วยเป็นหูเป็นตากัน เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันก็เป็นเรื่องที่ทำให้มวลความสุขเพิ่มขึ้นได้ดีที เดียว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
การตกแต่งห้องน้ำ...ในคอนโด
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
ห้องน้ำกับการตกแต่งเป็นเรื่องที่ฟังดูยุ่งยาก เพราะนอกจากจะมีพื้นที่น้อยกว่าห้องอื่นๆ ในบ้านแล้ว ยังมีอุปสรรคจุกจิกเรื่องความชื้นมาประกอบ ยิ่งถ้าเป็นห้องน้ำในคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่จำกัดยิ่งแล้วใหญ่ แต่อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อน เรื่องแบบนี้อยู่ที่เทคนิค ถ้ารู้เคล็ดลับดีๆ การแต่งห้องน้ำในคอนโดฯ ก็ไม่ใช่ mission impossible เสียทีเดียว
เราามาเริ่มกันที่เคล็ดลับ cleaning tips มีองค์ประกอบ 3 ข้อจำจงดี
หมั่น ทำความสะอาดห้องน้ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะซอกมุมและบริเวณใกล้ท่อระบายน้ำ เพราะเป็นจุดที่มีน้ำขังบ่อย คราบสกปรกจะเกาะติดจนขัดล้างยาก
สุขภัณฑ์ที่มีซอกมุมน้อยจะทำความสะอาดง่ายกว่า เลือกน้ำยาทำความสะอาดให้เหมาะสมกับพื้นผิววัสดุของสุขภัณฑ์จะช่วยยืดอายุการใช้งาน
สำรวจบริเวณสะดืออ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำ พยายามอย่าให้เศษผมหรือเศษฝุ่นละอองเข้าไปอุดตัน
Spacing "สำคัญที่พื้นที่"
ห้องน้ำในคอนโดมีพื้นที่จำกัด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการตกแต่งคือ ความโปร่ง สีหลักที่ใช้จึงควรเป็นสีสว่าง เช่น สีขาว สีครีม โดยเฉพาะพื้นห้องน้ำ ถ้ามีโอกาสเลือกวัสดุปูพื้นเอง ควรเลือกพื้นผิวที่สะท้อนแสงได้ดี เพราะจะทำให้ห้องดูสว่างและกว้างขึ้น แถมยังทำความสะอาดง่าย เพิ่มมิติด้วยกระจกเงาติดผนัง ซึ่งจะช่วยสะท้อนแสงและทำให้ห้องดูกว้าง
สเต็ปต่อมาคือ แบ่งพื้นที่ส่วนเปียกและส่วนแห้งให้ชัดเจน จะทำให้วางแผนการแต่งห้องน้ำได้ง่ายขึ้นจนน่าแปลกใจ ส่วนเปียกคือส่วนที่จะไม่ค่อยมีของตกแต่ง หรือถ้ามีก็จะเป็นของที่ไม่ดูดซับความชื้น เช่น อะลูมิเนียม สเตนเลส ส่วนแห้งจะใช้เป็นที่เก็บข้าวของจุกจิก การแบ่งก็เพียงแค่หาม่านพลาสติกหรือกระจกใสแบบอัดแรง (temper) ที่มีความปลอดภัยในการใช้งานมากั้น เท่านี้ก็ไม่ต้องคอยห่วงว่าน้ำจากฝักบัวหรืออ่างอาบน้ำจะกระเด็นมาโดน เฟอร์นิเจอร์
furnishing จัดวางยังไงไม่ให้รก
เทรนด์การออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์ยุคนี้ใส่ใจเรื่องความเรียบง่ายและ ประโยชน์ใช้สอยอยู่แล้ว ดังนั้นของตกแต่งจุกจิกอื่นๆ ก็ควรจัดวางให้เหมาะสม เช่น แทนที่จะแขวนข้าวของทุกอย่างไว้บนผนัง ลองหาตู้ติดผนังมาเก็บให้เป็นระเบียบไม่รกตา อย่าลืมใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด ไม่เว้นแม้แต่บริเวณที่มีส่วนไม่น่ามอง เช่น ท่อน้ำใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า แค่หาตู้เก็บของหรือหน้าบานปิดบังไว้ ใช้เป็นที่เก็บพวกน้ำยาทำความสะอาดและแปรงขัดพื้นต่างๆ ได้ไม่เสียเปล่า
Decorating แต่งเติมเสริมให้สวย
แต่ ละคนย่อมมีสไตล์ที่ชอบต่างกันไป แต่มีอยู่สองเรื่องที่ต้องยึดไว้เป็นกฎเหล็ก คือ พื้นที่กับความชื้น เพราะฉะนั้นเลือกของตกแต่งชิ้นเดียวที่โดดเด่นจะดีกว่าวางข้าวของจุก จิกกระจายเกลื่อน
หากอยากเพิ่มความสดชื่นให้กับห้องน้ำด้วยสีเขียวของต้นไม้ ต้องเลือกต้นไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก และไม่ต้องคอยห่วงเรื่องความชื้น เช่น พลูด่าง อาจจะนำมาวางไว้ด้านบนของฝาปิดชักโครก หรือจะลงทุนเจาะผนังเสียหน่อยและแขวนไว้ก็ได้
ที่มา propertyth
ห้องน้ำกับการตกแต่งเป็นเรื่องที่ฟังดูยุ่งยาก เพราะนอกจากจะมีพื้นที่น้อยกว่าห้องอื่นๆ ในบ้านแล้ว ยังมีอุปสรรคจุกจิกเรื่องความชื้นมาประกอบ ยิ่งถ้าเป็นห้องน้ำในคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่จำกัดยิ่งแล้วใหญ่ แต่อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อน เรื่องแบบนี้อยู่ที่เทคนิค ถ้ารู้เคล็ดลับดีๆ การแต่งห้องน้ำในคอนโดฯ ก็ไม่ใช่ mission impossible เสียทีเดียว
เราามาเริ่มกันที่เคล็ดลับ cleaning tips มีองค์ประกอบ 3 ข้อจำจงดี
หมั่น ทำความสะอาดห้องน้ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะซอกมุมและบริเวณใกล้ท่อระบายน้ำ เพราะเป็นจุดที่มีน้ำขังบ่อย คราบสกปรกจะเกาะติดจนขัดล้างยาก
สุขภัณฑ์ที่มีซอกมุมน้อยจะทำความสะอาดง่ายกว่า เลือกน้ำยาทำความสะอาดให้เหมาะสมกับพื้นผิววัสดุของสุขภัณฑ์จะช่วยยืดอายุการใช้งาน
สำรวจบริเวณสะดืออ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำ พยายามอย่าให้เศษผมหรือเศษฝุ่นละอองเข้าไปอุดตัน
Spacing "สำคัญที่พื้นที่"
ห้องน้ำในคอนโดมีพื้นที่จำกัด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการตกแต่งคือ ความโปร่ง สีหลักที่ใช้จึงควรเป็นสีสว่าง เช่น สีขาว สีครีม โดยเฉพาะพื้นห้องน้ำ ถ้ามีโอกาสเลือกวัสดุปูพื้นเอง ควรเลือกพื้นผิวที่สะท้อนแสงได้ดี เพราะจะทำให้ห้องดูสว่างและกว้างขึ้น แถมยังทำความสะอาดง่าย เพิ่มมิติด้วยกระจกเงาติดผนัง ซึ่งจะช่วยสะท้อนแสงและทำให้ห้องดูกว้าง
สเต็ปต่อมาคือ แบ่งพื้นที่ส่วนเปียกและส่วนแห้งให้ชัดเจน จะทำให้วางแผนการแต่งห้องน้ำได้ง่ายขึ้นจนน่าแปลกใจ ส่วนเปียกคือส่วนที่จะไม่ค่อยมีของตกแต่ง หรือถ้ามีก็จะเป็นของที่ไม่ดูดซับความชื้น เช่น อะลูมิเนียม สเตนเลส ส่วนแห้งจะใช้เป็นที่เก็บข้าวของจุกจิก การแบ่งก็เพียงแค่หาม่านพลาสติกหรือกระจกใสแบบอัดแรง (temper) ที่มีความปลอดภัยในการใช้งานมากั้น เท่านี้ก็ไม่ต้องคอยห่วงว่าน้ำจากฝักบัวหรืออ่างอาบน้ำจะกระเด็นมาโดน เฟอร์นิเจอร์
furnishing จัดวางยังไงไม่ให้รก
เทรนด์การออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์ยุคนี้ใส่ใจเรื่องความเรียบง่ายและ ประโยชน์ใช้สอยอยู่แล้ว ดังนั้นของตกแต่งจุกจิกอื่นๆ ก็ควรจัดวางให้เหมาะสม เช่น แทนที่จะแขวนข้าวของทุกอย่างไว้บนผนัง ลองหาตู้ติดผนังมาเก็บให้เป็นระเบียบไม่รกตา อย่าลืมใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด ไม่เว้นแม้แต่บริเวณที่มีส่วนไม่น่ามอง เช่น ท่อน้ำใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า แค่หาตู้เก็บของหรือหน้าบานปิดบังไว้ ใช้เป็นที่เก็บพวกน้ำยาทำความสะอาดและแปรงขัดพื้นต่างๆ ได้ไม่เสียเปล่า
Decorating แต่งเติมเสริมให้สวย
แต่ ละคนย่อมมีสไตล์ที่ชอบต่างกันไป แต่มีอยู่สองเรื่องที่ต้องยึดไว้เป็นกฎเหล็ก คือ พื้นที่กับความชื้น เพราะฉะนั้นเลือกของตกแต่งชิ้นเดียวที่โดดเด่นจะดีกว่าวางข้าวของจุก จิกกระจายเกลื่อน
หากอยากเพิ่มความสดชื่นให้กับห้องน้ำด้วยสีเขียวของต้นไม้ ต้องเลือกต้นไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก และไม่ต้องคอยห่วงเรื่องความชื้น เช่น พลูด่าง อาจจะนำมาวางไว้ด้านบนของฝาปิดชักโครก หรือจะลงทุนเจาะผนังเสียหน่อยและแขวนไว้ก็ได้
ที่มา propertyth
ต่อเติมไม่ศึกษาผิดกฎหมายได้
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
การต่อเติมอาคารบ้านพักอาศัย หากมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตามใจชอบโดยไม่ศึกษาข้อกฎหมายให้ดี อาจมีความผิด และอาจต้องรับโทษได้
เช่น หลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายแต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อ การต่อเติมอาคารด้านหลังที่เว้นไว้ 4 เมตร จนเต็มพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารนั้น กำหนดให้ผู้ที่จะก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน หรือให้แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นพร้อมทั้งดำเนินการตามมาตรา 39 ทวิ ก็เป็นอันใช้ได้
ส่วนการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการดัดแปลงอาคาร หรือไม่ กฎหมายกำหนดว่าการกระทำดังต่อไปนี้ (ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11) ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร เช่น
การเปลี่ยนโครงสร้างของอาคารโดย ใช้วัสดุขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม เว้นแต่การเปลี่ยนโครงสร้างของอาคารที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก คอนกรีตอัดแรง หรือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
การเปลี่ยนส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร โดยใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิมหรือวัสดุชนิดอื่น ซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมส่วนหนึ่งส่วนใดเกิน ร้อยละสิบ
การเปลี่ยนแปลง การต่อเติม การเพิ่ม การลด หรือการขยายซึ่งลักษณะขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ำหนัก เนื้อที่ส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร ซึ่งไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับโครงสร้างของอาคารเดิมส่วนหนึ่งส่วนใดเกิน ร้อยละสิบ
การลดหรือขยายเนื้อที่ของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งให้มีเนื้อที่น้อยลงหรือ มากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน
การลดหรือการขยายเนื้อที่ของหลังคาให้มีเนื้อที่มากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน
ดังนั้น จากข้อเท็จจริงจะพบว่าการต่อเติมดังกล่าว เป็นการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
นอกจากต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดระยะเวลาที่ยังคง ฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา 65 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522) ซึ่งผู้ต่อเติม (ผู้จะซื้อ) น่าจะเป็นฝ่ายผิด เว้นแต่จะมีหลักฐานที่แสดงว่าฝ่ายผู้จะขายได้ให้ยินยอม (ให้ผู้จะซื้อทำการต่อเติมแทน) ในระหว่างที่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
การต่อเติมอาคารบ้านพักอาศัย หากมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตามใจชอบโดยไม่ศึกษาข้อกฎหมายให้ดี อาจมีความผิด และอาจต้องรับโทษได้
เช่น หลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายแต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อ การต่อเติมอาคารด้านหลังที่เว้นไว้ 4 เมตร จนเต็มพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารนั้น กำหนดให้ผู้ที่จะก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน หรือให้แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นพร้อมทั้งดำเนินการตามมาตรา 39 ทวิ ก็เป็นอันใช้ได้
ส่วนการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการดัดแปลงอาคาร หรือไม่ กฎหมายกำหนดว่าการกระทำดังต่อไปนี้ (ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11) ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร เช่น
การเปลี่ยนโครงสร้างของอาคารโดย ใช้วัสดุขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม เว้นแต่การเปลี่ยนโครงสร้างของอาคารที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก คอนกรีตอัดแรง หรือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
การเปลี่ยนส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร โดยใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิมหรือวัสดุชนิดอื่น ซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมส่วนหนึ่งส่วนใดเกิน ร้อยละสิบ
การเปลี่ยนแปลง การต่อเติม การเพิ่ม การลด หรือการขยายซึ่งลักษณะขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ำหนัก เนื้อที่ส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร ซึ่งไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับโครงสร้างของอาคารเดิมส่วนหนึ่งส่วนใดเกิน ร้อยละสิบ
การลดหรือขยายเนื้อที่ของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งให้มีเนื้อที่น้อยลงหรือ มากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน
การลดหรือการขยายเนื้อที่ของหลังคาให้มีเนื้อที่มากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน
ดังนั้น จากข้อเท็จจริงจะพบว่าการต่อเติมดังกล่าว เป็นการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
นอกจากต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดระยะเวลาที่ยังคง ฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา 65 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522) ซึ่งผู้ต่อเติม (ผู้จะซื้อ) น่าจะเป็นฝ่ายผิด เว้นแต่จะมีหลักฐานที่แสดงว่าฝ่ายผู้จะขายได้ให้ยินยอม (ให้ผู้จะซื้อทำการต่อเติมแทน) ในระหว่างที่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
คอนโดวิมานผัก... ของคนเมือง สวนเกษตรลอยฟ้า
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
พืชผักเมืองไทย ปลูกง่าย โตเร็ว กินอร่อย แม้คนอยู่ตึก มีมุมน้อยนิดบนคอนโด ก็ปลูกผักหญ้ากินเองได้ เป็นแนวคิดที่ไม่ใหม่ เพราะมีผู้ริเริ่มและรณรงค์มานานแล้ว แต่ไฉนคนเมืองอยู่แต่ตึกไม่สนใจสีเขียวที่กินได้ในชีวิตจริง โครงการ สวนผักคนเมือง จึงกำเนิดขึ้นโดยผู้ปรารถนาดี อยากให้คนไทยรู้จักปลูกผักกินเอง ใส่ใจในธรรมชาติ กลับมามองของจริงที่จับต้องได้ นอกจากโครงการที่ว่านี้ยังมีมูลนิธิต่างๆ ได้แก่ เอ็นจีโอ สสส. และกลุ่มคนตัวน้อยที่ชวนคนเมืองมาปลูกผัก สร้างเป็นเครือข่ายวิถีเกษตรคนเมือง นอกจากนี้ คนที่อยู่ตึกแต่อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด สามารถเข้าร่วมกิจกรรม ฟังอบรมวิธีปลูกผักในเนื้อที่จำกัด จนถึงปลูกข้าวในล้อยางและบ่อซีเมนต์ เขาก็ทำกันมาเห็นผล เป็นเรื่องจริงน่าทึ่งว่า ไม่มีนาข้าวก็ปลูกข้าวกินเองได้...
กลุ่มคนเล็ก ๆ ที่รักผัก อาทิเช่น มูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา โดย คุณสรานนท์ ใยบำรุง จากวารสาร 'เกษตรกรรมธรรมชาติ' และ กรชชนก หุตะแพทย์ ที่รับหน้าที่เป็นวิทยากรอบรมโครงการสวนผักคนเมือง จัดเป็นประจำเดือนละ 2 ครั้ง บอกเล่าที่มาของโครงการและประโยชน์จากการปลูกผักไว้กินเอง ที่ต้องลงมือ ลงแรง และลงเงินเพียงเล็กน้อย แต่เก็บเกี่ยวผลพวงมหาศาล
"โครงการนี้เริ่มเมื่อปีที่แล้ว จากงานมหกรรมสมุนไพรครั้งที่ 6 ได้ไปออกบูธแนะนำการเกษตรเพื่อคนเมือง ถึงตอนนี้คนเริ่มรู้จักบ้างแล้ว เช่น คุณนคร (ฉายาเจ้าชายผัก) ทำเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นที่รู้จัก...และทำงานร่วมกับมูลนิธิด้วย พอ สสส.เข้ามาก็อยากนำโครงการนี้มารณรงค์สร้างแนวคิดให้คนเมือง ชุมชนต่าง ๆ ให้แพร่หลายขึ้น ให้มองเห็นภาพว่าการเกษตรคนเมืองก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องมีที่นา หลายคนที่คิดว่า การเกษตรหมายถึงคนชนบท ผมว่าแนวคิดของคนเมืองที่ไปยึดติดกับการเกษตรแบบเดิม ๆ ว่าทำเกษตร ปลูกผักต้องมีพื้นที่ ต้องคนชนบทเท่านั้นควรเลิกคิดได้แล้ว เพราะเราลืมนึกถึงเรื่องการบริโภค ไม่ได้หมายถึงว่าเรากินมากหรือกินน้อย แต่คนเมืองมักคิดว่าซื้อเอาสะดวกกว่า ง่ายกว่า แต่เมื่อใดที่เราได้ลงมือกระทำ ปลูกผักด้วยตัวเอง และเก็บเกี่ยวผลผลิตเราจะเกิดความรู้สึกเป็นสุขที่ได้ทำ ได้เรียนรู้ ได้รู้จักธรรมชาติ"
ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย กระทั่งคนอยู่คอนโด มีพื้นที่ระเบียงเพียงน้อยนิดก็ปลูกผักลงกระถางได้ โครงการสวนผักคนเมือง จะสอนตั้งแต่วิธีปลูก บำรุงดิน รดน้ำ และสร้างแนวคิดใหม่ที่ทำให้คนอยู่ตึกนึกถึงการปลูกผักและเก็บกิน มีความสุขทางใจเหนือกว่าคำอธิบายใด ๆ
"คนมีพื้นที่ที่เรียกว่าน้อย ที่สุด แค่มุมข้างตึกก็ปลูกผักลงกระถางประเภทตัดใบกิน ตั้งแต่ผักพื้นบ้าน ผักจีน มีวิธีคิดแบบเรียบง่ายที่สุดคือ เลือกปลูกผักที่เรากินในชีวิตประจำวัน อะไรที่เรากินบ่อย ๆ หรือเวลาทำกับข้าวเราใช้ผักอะไร เช่น พริก กะเพรา ผักชี ต้นหอม โหระพา เวลาเราต้มบะหมี่เราใส่อะไรก็เด็ดมา ต้นหอม ผักชี ใส่แกงจืด ตัดมา 1-2 ต้น ก็ได้แล้ว 1 จาน เราสามารถปลูกลงกระถางและตัดใบกินได้ตลอด ส่วนการรดน้ำแนะนำให้ใช้หัวฉีด (Foggy) เพื่อรักษาความชื้นของดิน วิธีนี้ง่ายที่สุด หรือต่อสายน้ำให้ค่อย ๆ หยด เรียกว่าระบบน้ำหยด ที่กำหนดเวลาได้เช่น สัก 5 นาทีหยด หรือนาทีละหยด ส่วนปุ๋ย ปกติพืช 15 วันใส่ปุ๋ยสัก 1 ครั้ง ต่อพื้นที่ 1 ตรม. ใส่ปุ๋ย 1-2 กำมือ ไม่กี่วันก็ได้กินผักที่ชอบแล้ว เวลากินก็ตัดใบมา ประเดี๋ยวผักก็จะงอกขึ้นมาใหม่ วิธีนี้เป็นการปลูกผักที่เนื้อที่น้อยที่สุด และเป็นการบริหารจัดการน้ำ ทำให้พื้นที่ไม่แฉะ และไม่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน เวลารดน้ำ น้ำก็ไม่ไหลลงชั้นล่าง
ถ้ามีพื้นที่มากขึ้นหน่อย การปลูก ผักกางมุ้ง ก็ทำได้ ไม่ใช่ผักไฮโดรโพนิกนะ มุ้งไว้กันแมลงแต่ต้องอาศัยช่างฝีมือต่อโครงสร้าง เป็นผักปลูกในดินหรือผักกระถางตั้งไว้ ใส่น้ำในสายยาง กำหนดเวลาน้ำหยด เนื้อที่ประมาณ 1 ม. x 2 ม. ก็พอปลูกได้แล้ว หรือปลูกในล้อยางเก่า ๆ ไปขอเขามาตามร้านยาง เขาให้เลย ลงทุนไม่เกิน 20 บาท ค่าดิน ใช้ล้อยางเก่า บ่อซีเมนต์ ก็ปลูกผักได้"
เรื่องของปุ๋ยบำรุงดินก็ไม่ยาก วิธีที่ประหยัดที่สุดคือใช้เศษอาหารในบ้าน ผสมขี้วัว แกลบ คลุกเคล้าแล้วหมักไว้ เป็นปุ๋ยธรรมชาติไม่ต้องเสียเงิน คุณภาพก็ดี
"เศษอาหารตั้งแต่เศษข้าว กระดูก ผักผลไม้ เตรียมทำปุ๋ยโดยผสมกับดินเหนียว สับ ๆ กันคลุกเคล้า หรือใบก้ามปูมาเทรวมกับขี้วัว สับ ๆ ไว้ เอาฟางปูไว้แล้วรดน้ำทิ้งไว้ 1 คืน แต่ถ้าขี้เกียจทำซื้อปุ๋ยสำเร็จรูปมาก็ได้ เวลามีคนมาอบรมเราก็ให้มาดูภาพจริง วิธีปลูก เตรียมดิน และรู้จักนิสัยของผักแต่ละชนิด โดยมีหลักคิดง่าย ๆ เล็ก ๆ อย่าไปมองภาพกว้าง อยากให้ว่าปลูกผักกินเองได้กินผักปลอดสารเคมี สุขภาพเราก็ดี ลดค่าใช้จ่ายซื้อผัก แม้ผักจะถูกแต่ถ้าเราต้องซื้อบ่อย ๆ ก็เป็นเงินไม่น้อย อีกอย่างคือช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว และทำให้พื้นที่แม้จะน้อยให้เกิดประโยชน์ที่กินได้ด้วย เป็นโมเดลของการพึ่งตนเอง"
โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการสวนผักคนเมือง คือ 1. อยากให้คนไทยกินผักสะอาด เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 2.ลดรายจ่ายที่บ้าน 3.ใช้เวลาว่างในครอบครัว และ 4. เพิ่มพื้นที่สีเขียว
"คนที่เข้าอบรมอย่างแรกคืออยากให้เปลี่ยนแนวคิด ตามด้วยพฤติกรรม เราขอเวลาก่อนไปทำงาน 5 นาที เช้าและเย็นหรือก่อนนอน รดน้ำ แค่ 5 นาทีเท่านั้น หรือใช้เวลาวันหยุดปรับพื้นดิน เพาะกล้า ปลูกผัก ส่วนเมล็ดพันธุ์เราสามารถเก็บจากผักที่เราปลูกนั่นแหละ ปลูกไป 5 ต้น เก็บเมล็ดได้ไม่รู้กี่เม็ดกี่ฝัก เวลาออกผลมาสองผลสองผลก็เก็บได้ 20-30 เม็ดแล้ว วิธีเก็บที่บ้าน ๆ ที่สุดคือใส่ซองเปล่ามาม่า แช่ตู้เย็นไว้ เก็บได้ 2 ปี ถ้านานกว่านั้นผลของการงอกจะลดลง พวกเมล็ดพันธุ์ที่เขาขายจะปลูกได้ครั้งเดียวเก็บเมล็ดไปปลูกต่อไม่ได้
เขา มีวิธีตัดแต่งทำให้เราต้องซื้อเมล็ดพันธุ์เขาบ่อย ๆ หรือถ้ามาอบรมเราแจกเมล็ดพันธุ์ฟรี ๆ หรือเวลาไปต่างจังหวัดขอเพื่อนบ้านได้ ต่อไปเราอยากสร้างแนวคิดสวนแนวตั้ง เอาผักเลื้อยขึ้นไปปลูก และการปลูกผักบนดาดฟ้า จนถึงคนเมืองที่อยู่ในชุมชนหรือสลัม พื้นที่แออัดก็สามารถปลูกผักกินเองได้ เอาหลักคิดง่าย ๆ เช่น จะทำต้มยำแค่เดินไประเบียงเด็ดพริก เด็กผักมาใส่ จะผัดผักก็ไปตัดใบมากิน ผักเราไม่ปนเปื้อนสารเคมีด้วย หรือเราใช้พริกไม่กี่เม็ดแต่ต้องเสียสตางค์ซื้อ 5-6 บาท ก็เป็นเงินแล้ว หรือบางทีซื้อมาใช้แค่ไม่กี่เม็ด ที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็น ลืมกิน สองวันก็เน่าหมด เราตัดวงจรการเดินออกไปนอกบ้านและงดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
อยาก ให้คิดง่าย ๆ เช่น ใน 1 วัน เรากินผักกี่บาท ถ้าตกบ้านละ 50 บาท 1 ปีเป็นเงินเท่าไหร่ เราอาจเห็นเป็นเรื่องเล็กแต่ถ้าเอารายจ่ายค่าผักมาบวกกันทั้งปี กลายเป็นเงินค่าเทอมลูก..."
สนใจโครงการสวนผักคนเมือง สอบถามตารางอบรมวิธีปลูกผักและการบำรุงรักษา โทร. 0-2617-0832
///////////////////////////
ศูนย์อบรมโครงการสวนผักคนเมือง
- ศูนย์เรียนรู้เกษตรในเมือง สาขาเจ้าชายผัก โดยนคร ลิมปคุปตถาวร ลาดพร้าว 71 โทร. 08-1867-2042
- ศูนย์เรียนรู้การทำเกษตรในเมือง ศูนย์สุวรรณภูมิ โทร. 08-5090-2283
- สวนผักบ้านคุณตา สุขุมวิท 62 โทร. 08-9669-9249, 0-2617-0832
- สวนเกษตรดาดฟ้า สำนักงานเขตหลักสี่ โทร. 0-2576-1393
- โรงเรียนอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย โทร. 08-4774-3220
- ติดตามข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sathai.org
สวนผักเป็นจริง ฝีมือคนเมือง ได้แก่
** ผักกระถาง : การปลูกผักไม่จำเป็นต้องลงดินเสมอไป มีกระถางเล็ก ๆ กะละมัง ภาชนะอื่น ๆ ก็ปลูกผักกินเองได้ ขั้นตอนคือ
1. เตรียมกระถาง กระบะ ลึกอย่างน้อย 30 ซม.
2 ส่วนผสมปุ๋ย ดิน 1 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน แกลบดำ 1 ส่วน ผสมใส่ในกระถาง
3. ขุดดินในกระถางให้เป็นรูตรงกลาง นำกล้าผักมาใส่ กลบด้วยดินปลูก
4. นำกระถางวางไว้ที่ที่โดนแดดอย่างน้อย 1/2 วัน รดน้ำเช้าเย็น
5. ใช้น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำ รดทุก 3 วัน เมื่อผักโตก็ตัดกินได้
ส่วนผสมดินปลูก : ดินร่วน 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก (ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยชีวภาพ) 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบหรือขุยมะพร้าว 1 ส่วน
** ผักกางมุ้ง มีตั้งแต่ขนาดเล็กถึงใหญ่ ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่
** ผักบนล้อยางและบ่อซีเมนต์ ปลูกได้ตามขนาดพื้นที่
** สวนครัวลอยฟ้า หรือปลูกบนดาดฟ้า ควรเป็นผักรากสั้น ลึกไม่เกิน 10 ซม. เช่น ผักบุ้งจีน กวางตุ้ง ผักกาดหอม โหระพา กะเพรา ควรเลือกผักที่ชอบอากาศเย็นเพราะจะโดนลมโกรกทำให้ความชื้นลดลง อีกทั้งบริเวณพื้นที่ชั้นบนของตัวตึกมีอุณหภูมิรอบตัวต่ำกว่าพืชที่ปลูกบน ดิน หรือปลูกผักในห้องปรับอากาศ ควรเลือกปลูกผักนอกฤดูกาล เช่น ปวยเล้ง ตั้งโอ๋ พริกยักษ์ ข้อควรระวังคือความชื้นจะระเหยไปอย่างรวดเร็วจึงควรหมั่นรดน้ำอยู่เสมอ
เคล็ด ลับปลูกผักให้ได้ผลดี: ผักจีน ผักฝรั่ง เหมาะกับฤดูหนาว ส่วนผักพื้นบ้านปลูกได้ทุกฤดูกาล ควรปลูกดอกไม้สีสดใสในแปลงผักเพื่อล่อแมลงที่เป็นประโยชน์ และปลูกผักหลายชนิดหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล การคลุมดินด้วยเศษพืชจะช่วยรักษาความชุ่มชื้น และเพิ่มอินทรียวัตถุลงในดินเพื่อช่วยให้รากชอนไชไปได้ไกล และทำให้ดินมีช่องว่างให้น้ำและอากาศไหลผ่าน พืชจะงอกงามเติบโต
ผัก แข็งแรง คนก็แข็งแรง: ต้นไม้เติบโตได้ต้องเกิดจากการดูแลรักษาที่ดี ไม่เพียงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ (ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก พืชสด ปุ๋ยชีวภาพ) และการปลูกพืชแบบคล้อยตามธรรมชาติ และป้องกันแมลงด้วยสารสกัดสมุนไพรเพื่อความสมดุลแห่งชีวิตกลับสู่สวนผักที่ เรารัก ปลูกต้นไม้ ได้ผลดีต้องสองมือเราดูแล ไม่ใช่ปล่อยให้เทวดาเลี้ยง...
พืชผักเมืองไทย ปลูกง่าย โตเร็ว กินอร่อย แม้คนอยู่ตึก มีมุมน้อยนิดบนคอนโด ก็ปลูกผักหญ้ากินเองได้ เป็นแนวคิดที่ไม่ใหม่ เพราะมีผู้ริเริ่มและรณรงค์มานานแล้ว แต่ไฉนคนเมืองอยู่แต่ตึกไม่สนใจสีเขียวที่กินได้ในชีวิตจริง โครงการ สวนผักคนเมือง จึงกำเนิดขึ้นโดยผู้ปรารถนาดี อยากให้คนไทยรู้จักปลูกผักกินเอง ใส่ใจในธรรมชาติ กลับมามองของจริงที่จับต้องได้ นอกจากโครงการที่ว่านี้ยังมีมูลนิธิต่างๆ ได้แก่ เอ็นจีโอ สสส. และกลุ่มคนตัวน้อยที่ชวนคนเมืองมาปลูกผัก สร้างเป็นเครือข่ายวิถีเกษตรคนเมือง นอกจากนี้ คนที่อยู่ตึกแต่อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด สามารถเข้าร่วมกิจกรรม ฟังอบรมวิธีปลูกผักในเนื้อที่จำกัด จนถึงปลูกข้าวในล้อยางและบ่อซีเมนต์ เขาก็ทำกันมาเห็นผล เป็นเรื่องจริงน่าทึ่งว่า ไม่มีนาข้าวก็ปลูกข้าวกินเองได้...
กลุ่มคนเล็ก ๆ ที่รักผัก อาทิเช่น มูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา โดย คุณสรานนท์ ใยบำรุง จากวารสาร 'เกษตรกรรมธรรมชาติ' และ กรชชนก หุตะแพทย์ ที่รับหน้าที่เป็นวิทยากรอบรมโครงการสวนผักคนเมือง จัดเป็นประจำเดือนละ 2 ครั้ง บอกเล่าที่มาของโครงการและประโยชน์จากการปลูกผักไว้กินเอง ที่ต้องลงมือ ลงแรง และลงเงินเพียงเล็กน้อย แต่เก็บเกี่ยวผลพวงมหาศาล
"โครงการนี้เริ่มเมื่อปีที่แล้ว จากงานมหกรรมสมุนไพรครั้งที่ 6 ได้ไปออกบูธแนะนำการเกษตรเพื่อคนเมือง ถึงตอนนี้คนเริ่มรู้จักบ้างแล้ว เช่น คุณนคร (ฉายาเจ้าชายผัก) ทำเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นที่รู้จัก...และทำงานร่วมกับมูลนิธิด้วย พอ สสส.เข้ามาก็อยากนำโครงการนี้มารณรงค์สร้างแนวคิดให้คนเมือง ชุมชนต่าง ๆ ให้แพร่หลายขึ้น ให้มองเห็นภาพว่าการเกษตรคนเมืองก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องมีที่นา หลายคนที่คิดว่า การเกษตรหมายถึงคนชนบท ผมว่าแนวคิดของคนเมืองที่ไปยึดติดกับการเกษตรแบบเดิม ๆ ว่าทำเกษตร ปลูกผักต้องมีพื้นที่ ต้องคนชนบทเท่านั้นควรเลิกคิดได้แล้ว เพราะเราลืมนึกถึงเรื่องการบริโภค ไม่ได้หมายถึงว่าเรากินมากหรือกินน้อย แต่คนเมืองมักคิดว่าซื้อเอาสะดวกกว่า ง่ายกว่า แต่เมื่อใดที่เราได้ลงมือกระทำ ปลูกผักด้วยตัวเอง และเก็บเกี่ยวผลผลิตเราจะเกิดความรู้สึกเป็นสุขที่ได้ทำ ได้เรียนรู้ ได้รู้จักธรรมชาติ"
ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย กระทั่งคนอยู่คอนโด มีพื้นที่ระเบียงเพียงน้อยนิดก็ปลูกผักลงกระถางได้ โครงการสวนผักคนเมือง จะสอนตั้งแต่วิธีปลูก บำรุงดิน รดน้ำ และสร้างแนวคิดใหม่ที่ทำให้คนอยู่ตึกนึกถึงการปลูกผักและเก็บกิน มีความสุขทางใจเหนือกว่าคำอธิบายใด ๆ
"คนมีพื้นที่ที่เรียกว่าน้อย ที่สุด แค่มุมข้างตึกก็ปลูกผักลงกระถางประเภทตัดใบกิน ตั้งแต่ผักพื้นบ้าน ผักจีน มีวิธีคิดแบบเรียบง่ายที่สุดคือ เลือกปลูกผักที่เรากินในชีวิตประจำวัน อะไรที่เรากินบ่อย ๆ หรือเวลาทำกับข้าวเราใช้ผักอะไร เช่น พริก กะเพรา ผักชี ต้นหอม โหระพา เวลาเราต้มบะหมี่เราใส่อะไรก็เด็ดมา ต้นหอม ผักชี ใส่แกงจืด ตัดมา 1-2 ต้น ก็ได้แล้ว 1 จาน เราสามารถปลูกลงกระถางและตัดใบกินได้ตลอด ส่วนการรดน้ำแนะนำให้ใช้หัวฉีด (Foggy) เพื่อรักษาความชื้นของดิน วิธีนี้ง่ายที่สุด หรือต่อสายน้ำให้ค่อย ๆ หยด เรียกว่าระบบน้ำหยด ที่กำหนดเวลาได้เช่น สัก 5 นาทีหยด หรือนาทีละหยด ส่วนปุ๋ย ปกติพืช 15 วันใส่ปุ๋ยสัก 1 ครั้ง ต่อพื้นที่ 1 ตรม. ใส่ปุ๋ย 1-2 กำมือ ไม่กี่วันก็ได้กินผักที่ชอบแล้ว เวลากินก็ตัดใบมา ประเดี๋ยวผักก็จะงอกขึ้นมาใหม่ วิธีนี้เป็นการปลูกผักที่เนื้อที่น้อยที่สุด และเป็นการบริหารจัดการน้ำ ทำให้พื้นที่ไม่แฉะ และไม่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน เวลารดน้ำ น้ำก็ไม่ไหลลงชั้นล่าง
ถ้ามีพื้นที่มากขึ้นหน่อย การปลูก ผักกางมุ้ง ก็ทำได้ ไม่ใช่ผักไฮโดรโพนิกนะ มุ้งไว้กันแมลงแต่ต้องอาศัยช่างฝีมือต่อโครงสร้าง เป็นผักปลูกในดินหรือผักกระถางตั้งไว้ ใส่น้ำในสายยาง กำหนดเวลาน้ำหยด เนื้อที่ประมาณ 1 ม. x 2 ม. ก็พอปลูกได้แล้ว หรือปลูกในล้อยางเก่า ๆ ไปขอเขามาตามร้านยาง เขาให้เลย ลงทุนไม่เกิน 20 บาท ค่าดิน ใช้ล้อยางเก่า บ่อซีเมนต์ ก็ปลูกผักได้"
เรื่องของปุ๋ยบำรุงดินก็ไม่ยาก วิธีที่ประหยัดที่สุดคือใช้เศษอาหารในบ้าน ผสมขี้วัว แกลบ คลุกเคล้าแล้วหมักไว้ เป็นปุ๋ยธรรมชาติไม่ต้องเสียเงิน คุณภาพก็ดี
"เศษอาหารตั้งแต่เศษข้าว กระดูก ผักผลไม้ เตรียมทำปุ๋ยโดยผสมกับดินเหนียว สับ ๆ กันคลุกเคล้า หรือใบก้ามปูมาเทรวมกับขี้วัว สับ ๆ ไว้ เอาฟางปูไว้แล้วรดน้ำทิ้งไว้ 1 คืน แต่ถ้าขี้เกียจทำซื้อปุ๋ยสำเร็จรูปมาก็ได้ เวลามีคนมาอบรมเราก็ให้มาดูภาพจริง วิธีปลูก เตรียมดิน และรู้จักนิสัยของผักแต่ละชนิด โดยมีหลักคิดง่าย ๆ เล็ก ๆ อย่าไปมองภาพกว้าง อยากให้ว่าปลูกผักกินเองได้กินผักปลอดสารเคมี สุขภาพเราก็ดี ลดค่าใช้จ่ายซื้อผัก แม้ผักจะถูกแต่ถ้าเราต้องซื้อบ่อย ๆ ก็เป็นเงินไม่น้อย อีกอย่างคือช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว และทำให้พื้นที่แม้จะน้อยให้เกิดประโยชน์ที่กินได้ด้วย เป็นโมเดลของการพึ่งตนเอง"
โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการสวนผักคนเมือง คือ 1. อยากให้คนไทยกินผักสะอาด เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 2.ลดรายจ่ายที่บ้าน 3.ใช้เวลาว่างในครอบครัว และ 4. เพิ่มพื้นที่สีเขียว
"คนที่เข้าอบรมอย่างแรกคืออยากให้เปลี่ยนแนวคิด ตามด้วยพฤติกรรม เราขอเวลาก่อนไปทำงาน 5 นาที เช้าและเย็นหรือก่อนนอน รดน้ำ แค่ 5 นาทีเท่านั้น หรือใช้เวลาวันหยุดปรับพื้นดิน เพาะกล้า ปลูกผัก ส่วนเมล็ดพันธุ์เราสามารถเก็บจากผักที่เราปลูกนั่นแหละ ปลูกไป 5 ต้น เก็บเมล็ดได้ไม่รู้กี่เม็ดกี่ฝัก เวลาออกผลมาสองผลสองผลก็เก็บได้ 20-30 เม็ดแล้ว วิธีเก็บที่บ้าน ๆ ที่สุดคือใส่ซองเปล่ามาม่า แช่ตู้เย็นไว้ เก็บได้ 2 ปี ถ้านานกว่านั้นผลของการงอกจะลดลง พวกเมล็ดพันธุ์ที่เขาขายจะปลูกได้ครั้งเดียวเก็บเมล็ดไปปลูกต่อไม่ได้
เขา มีวิธีตัดแต่งทำให้เราต้องซื้อเมล็ดพันธุ์เขาบ่อย ๆ หรือถ้ามาอบรมเราแจกเมล็ดพันธุ์ฟรี ๆ หรือเวลาไปต่างจังหวัดขอเพื่อนบ้านได้ ต่อไปเราอยากสร้างแนวคิดสวนแนวตั้ง เอาผักเลื้อยขึ้นไปปลูก และการปลูกผักบนดาดฟ้า จนถึงคนเมืองที่อยู่ในชุมชนหรือสลัม พื้นที่แออัดก็สามารถปลูกผักกินเองได้ เอาหลักคิดง่าย ๆ เช่น จะทำต้มยำแค่เดินไประเบียงเด็ดพริก เด็กผักมาใส่ จะผัดผักก็ไปตัดใบมากิน ผักเราไม่ปนเปื้อนสารเคมีด้วย หรือเราใช้พริกไม่กี่เม็ดแต่ต้องเสียสตางค์ซื้อ 5-6 บาท ก็เป็นเงินแล้ว หรือบางทีซื้อมาใช้แค่ไม่กี่เม็ด ที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็น ลืมกิน สองวันก็เน่าหมด เราตัดวงจรการเดินออกไปนอกบ้านและงดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
อยาก ให้คิดง่าย ๆ เช่น ใน 1 วัน เรากินผักกี่บาท ถ้าตกบ้านละ 50 บาท 1 ปีเป็นเงินเท่าไหร่ เราอาจเห็นเป็นเรื่องเล็กแต่ถ้าเอารายจ่ายค่าผักมาบวกกันทั้งปี กลายเป็นเงินค่าเทอมลูก..."
สนใจโครงการสวนผักคนเมือง สอบถามตารางอบรมวิธีปลูกผักและการบำรุงรักษา โทร. 0-2617-0832
///////////////////////////
ศูนย์อบรมโครงการสวนผักคนเมือง
- ศูนย์เรียนรู้เกษตรในเมือง สาขาเจ้าชายผัก โดยนคร ลิมปคุปตถาวร ลาดพร้าว 71 โทร. 08-1867-2042
- ศูนย์เรียนรู้การทำเกษตรในเมือง ศูนย์สุวรรณภูมิ โทร. 08-5090-2283
- สวนผักบ้านคุณตา สุขุมวิท 62 โทร. 08-9669-9249, 0-2617-0832
- สวนเกษตรดาดฟ้า สำนักงานเขตหลักสี่ โทร. 0-2576-1393
- โรงเรียนอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย โทร. 08-4774-3220
- ติดตามข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sathai.org
สวนผักเป็นจริง ฝีมือคนเมือง ได้แก่
** ผักกระถาง : การปลูกผักไม่จำเป็นต้องลงดินเสมอไป มีกระถางเล็ก ๆ กะละมัง ภาชนะอื่น ๆ ก็ปลูกผักกินเองได้ ขั้นตอนคือ
1. เตรียมกระถาง กระบะ ลึกอย่างน้อย 30 ซม.
2 ส่วนผสมปุ๋ย ดิน 1 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน แกลบดำ 1 ส่วน ผสมใส่ในกระถาง
3. ขุดดินในกระถางให้เป็นรูตรงกลาง นำกล้าผักมาใส่ กลบด้วยดินปลูก
4. นำกระถางวางไว้ที่ที่โดนแดดอย่างน้อย 1/2 วัน รดน้ำเช้าเย็น
5. ใช้น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำ รดทุก 3 วัน เมื่อผักโตก็ตัดกินได้
ส่วนผสมดินปลูก : ดินร่วน 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก (ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยชีวภาพ) 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบหรือขุยมะพร้าว 1 ส่วน
** ผักกางมุ้ง มีตั้งแต่ขนาดเล็กถึงใหญ่ ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่
** ผักบนล้อยางและบ่อซีเมนต์ ปลูกได้ตามขนาดพื้นที่
** สวนครัวลอยฟ้า หรือปลูกบนดาดฟ้า ควรเป็นผักรากสั้น ลึกไม่เกิน 10 ซม. เช่น ผักบุ้งจีน กวางตุ้ง ผักกาดหอม โหระพา กะเพรา ควรเลือกผักที่ชอบอากาศเย็นเพราะจะโดนลมโกรกทำให้ความชื้นลดลง อีกทั้งบริเวณพื้นที่ชั้นบนของตัวตึกมีอุณหภูมิรอบตัวต่ำกว่าพืชที่ปลูกบน ดิน หรือปลูกผักในห้องปรับอากาศ ควรเลือกปลูกผักนอกฤดูกาล เช่น ปวยเล้ง ตั้งโอ๋ พริกยักษ์ ข้อควรระวังคือความชื้นจะระเหยไปอย่างรวดเร็วจึงควรหมั่นรดน้ำอยู่เสมอ
เคล็ด ลับปลูกผักให้ได้ผลดี: ผักจีน ผักฝรั่ง เหมาะกับฤดูหนาว ส่วนผักพื้นบ้านปลูกได้ทุกฤดูกาล ควรปลูกดอกไม้สีสดใสในแปลงผักเพื่อล่อแมลงที่เป็นประโยชน์ และปลูกผักหลายชนิดหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล การคลุมดินด้วยเศษพืชจะช่วยรักษาความชุ่มชื้น และเพิ่มอินทรียวัตถุลงในดินเพื่อช่วยให้รากชอนไชไปได้ไกล และทำให้ดินมีช่องว่างให้น้ำและอากาศไหลผ่าน พืชจะงอกงามเติบโต
ผัก แข็งแรง คนก็แข็งแรง: ต้นไม้เติบโตได้ต้องเกิดจากการดูแลรักษาที่ดี ไม่เพียงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ (ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก พืชสด ปุ๋ยชีวภาพ) และการปลูกพืชแบบคล้อยตามธรรมชาติ และป้องกันแมลงด้วยสารสกัดสมุนไพรเพื่อความสมดุลแห่งชีวิตกลับสู่สวนผักที่ เรารัก ปลูกต้นไม้ ได้ผลดีต้องสองมือเราดูแล ไม่ใช่ปล่อยให้เทวดาเลี้ยง...
เรื่องวุ่นๆ ของชาวคอนโด
สวัสดี เพื่อนๆ พี่ๆ ชาวบล็อคทุกท่านค่ะ
หายกันไปนานนนนน จริงๆ....ไม่รู้จะมีใครคิดถึงกันบ้างรึป่าว???
ดูหัวข้ออย่าเพิ่งคิดว่า...พวกเราขายบ้านไปอยู่คอนโดเลยยุ่งกับการย้ายบ้านนะคะ
ยังอยู่บ้านน้อยหลังเดิม....ไม่ได้ย้ายไปไหนค่ะ
เพียงแต่ เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสไปประชุมลูกบ้านของคอนโดมิเนียมโครงการหนึ่ง
ที่ครอบครัวซื้อเอาไว้ หวังว่าจะได้มีชีวิตหรูหรา ติดริมน้ำ กลางใจเมืองกับเค้าบ้าง
ไหง....ดันไปเจอเรื่องน่าปวดหัว ที่จะไปมีใครคิดว่า อยู่คอนโดต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ด้วยหรอ.....
วันนี้เลยเอามาแบ่งปันให้ฟังค่ะ....
คอนโดหรูริมน้ำที่ว่านี้ ตั้งอยู่ที่ ถ.ตก ค่ะ.....เป็นคอนโดมิเนียมที่ developer เจ้านี้เค้าภูมิใจ ถึงขั้นเจ้าของต้องมาอยู่เอง พ่อกับแม่ไปดูครั้งแรก จองเลยค่ะ ด้วยทำเล และราคาที่รับได้เทียบกับคอนโดหรูยี่ห้ออื่นในบริเวณเดียวกัน
จริงๆ ในชีวิตนี้ เคยได้ยินพ่อกับแม่ ตั้งปณิธานว่าจะไม่ซื้อคอนโด....
เพราะห้องอะไรราคาตั้งหลายล้าน ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง....
แถมต้องไปแชร์พื้นที่ส่วนกลาง บวกกับจ่ายเงินค่ารักษาส่วนกลางอีกทุกเดือน
แต่ด้วยทำเลอย่างเดียวเลยค่ะ......ทำให้พ่อกับแม่ จนมุม
เพราะใฝ่ฝันอยากมีชีวิตไฮโซริมน้ำกลางกรุงกับเค้าบ้าง
ถ้าย้อนเวลาไปได้.....และหลังจากเข้าประชุมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
..........บอกได้คำเดียวค่ะว่า..........มันอึ้ง........
และโดยส่วนตัวขอตั้งปณิธานต่อไปว่าจะไม่ซื้อคอนโดอีก......โดยเฉพาะกับยี่ห้อนี้.........
(จริงๆ หลงไปซื้อไว้แล้วหลายที่ แต่ยังไม่เสร็จ....หึๆ รู้สึกเลยว่า ชีวิตคงต้องเจอกับปัญหาในอนาคตแน่นอน)
เกริ่นนำมาหลายย่อหน้า....เริ่มหงุดหงิดกันรึยังคะ ว่าจะเริ่มเล่าได้รึยัง...
งั้นมาเริ่มฟังกันดีกว่า....ว่าพวกเราไปเจออะไรกันมาบ้างค่ะ....
การประชุมลูกบ้านครั้งนี้....สืบเนื่องมาจากมีกรรมการหมู่บ้านชุดเดิมลาออก 7 คน จากทั้งหมด 9 คน
เหตุผลการลาออกมาจาก การทำงานไม่เข้าขากัน และไม่สามารถควบคุมนิติได้
พวกเราขอรวบรวมสรุปเป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับชาวคอนโดจากการดำเนินงานของนิติบุคคล
ซึ่งคนทำงานอย่างเราๆ ที่ต้องทำงานเต็มเวลา น้อยคนจะคิดถึง เพราะแค่กลับถึงคอนโดหัวถึงหมอนก็สลบแล้ว
จากการประชุม พบปัญหาดังนี้ค่ะ
- โครงการแห่งนี้ ขายไปได้เพียง 66% ของจำนวนห้องทั้งหมด....ทำให้ตาม กม. เจ้าของโครงการ มีสิทธิเข้ามาจัดการเสมือนเป็นลูกบ้านได้ตามส่วนที่ยังไม่ได้ขาย คือ 34% ไม่ว่าจะเป็นการโหวตเลือกกรรมการ ซึ่งส่งผลต่อการบริหารและอนุมัติการใช้จ่ายเงินค่าส่วนกลาง ที่เก็บจากลูกบ้านที่รับโอนแล้วล่วงหน้า 2 ปี รวมดอกผลจากการฝากธนาคาร โดยเงินก้อนนี้ เป็นเงินหลายสิบล้านบาท
ซึ่งตามหลักความเป็นจริง...บริษัท ต้องจ่ายเงินส่วนกลางล่วงหน้า 2 ปีในส่วน 34% ที่ยังไม่ได้ขายให้กับกองทุนนี้เช่นกัน....แต่เค้าจ่ายแค่เดือนต่อเดือน แต่กลับมีอำนาจการออกเสียงในการใช้เงินกองนี้เท่ากับลูกบ้านที่จ่ายล่วงหน้า 2 ปี
- การจัดตั้งนิติบุคคล ขอออกตัวว่าไม่ทราบในตัวบทกฎหมายที่แท้จริงนะคะ แต่ทางโครงการทำการจัดตั้งนิติบุคคล ตั้งแต่ขายได้ไปเพียง 40-50% โดยแต่งตั้งให้บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง ชื่อแปลเป็นภาษาไทย แนวๆ พี่อัศวินละกันนะคะ
ซึ่งหลังจากพี่อัศวินมาดำเนินการโดยการแต่งตั้งของโครงการ (ลูกบ้านที่โอนแล้ว ก็ งงๆ เพราะว่าไม่มีเรียกประชุมแต่งตั้งนิติฯ) ก็ไม่ได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องความปลอดภัย และการบำรุงรักษาส่วนกลาง สร้างความไม่พอใจให้แก่ลูกบ้านที่พักอาศัยในปัจจุบัน
- หลังจากโครงการขายและโอนเกินครึ่ง จนถึงต้นปีที่ผ่านมา คือ 66% เสียงของลูกบ้านมากกว่าโครงการ รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที โยนความรับผิดชอบกันไปมา ไม่ว่าจะเป็นความบกพร่องจากการก่อสร้าง โดยเฉพาะเรื่องน้ำรั่วขอบประตูหน้าต่าง ห้องน้ำรั่วทำความเสียหายให้พื้นที่อื่นๆ ภายในห้อง กระจกอลูมิเนียมติดตั้งไม่ได้มาตรฐานโดนลมกระแทกจนตกลงมาด้านล่างจำนวนกว่า 10 ห้อง (ดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ) ทำให้การจัดการต่างๆ เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น
โดยลูกบ้านที่สนใจและรวมตัวกันได้ (แน่นอนว่า รวมยังไงก็ไม่ได้เต็ม 66% เพราะมีส่วนนึงที่ไม่ทราบและไม่มีเวลา) ได้ให้จัดการประชุมเลือกกรรมการชุดเดิมเพื่อเข้ามาจัดการปัญหาต่างๆ เนื่องจากเห็นว่า พี่อัศวิน ไม่ได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพตามสรรพคุณที่อวดอ้างไว้ และไม่คุ้มค่าจ้างบริหารที่จ่ายกว่าเดือนละ 4-5 แสนบาทโดย คณะกรรมการส่วนหนึ่งเป็นลูกบ้าน และอีกส่วนเป็นคนของโครงการ ทำหน้าที่เหมือน ผู้ตรวจสอบพี่อัศวินอีกทอดหนึ่ง
- ปัญหาความขัดแย้งของคณะกรรมการ เป็นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับทุกสัมคม ย่อมมีคนที่เห็นร่วม และเห็นต่าง และรวมถึงมีคนสร้างปัญหาและคนแก้ปัญหา แต่เนื่องจากแม้จะมีผู้ตรวจสอบ พี่อัศวินก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิมด้วยการสนับสนุนของฝ่ายโครงการ (เพราะเลือกใช้กันมาตังแต่ต้น) แถมท้ายด้วยความขัดแย้งทางความคิดเห็นของฝ่ายที่ทำเพื่อประโยชน์ของลูกบ้าน และฝ่ายที่ทำเพื่อประโยชน์ของโครงการ ทำให้ลงเอยด้วยการลาออกของคณะกรรมการถึง 7 คน และต้องเลือกตั้งกรรมการใหม่
- ปัญหาการไม่มาใช้สิทธิออกเสียงของลูกบ้าน ด้วยการประชาสัมพันธ์ที่ค่อนข้างล่าช้า และแน่นอนว่า เสียง 66% ของลูกบ้าน ย่อมมีที่ต้องติดธุระกันบ้าง.... แต่ลูกบ้านที่มาออกเสียงในวันเลือกตั้งใหม่ กลับมีเพียง ไม่ถึง 30% จาก 66% ในขณะที่ตามกฎหมาย ฝ่ายโครงการสามารถให้กรรมการผู้มีอำนาจมาออกเสียงเพียงคนเดียว แทน 34% ที่โครงการยังถือครองกรรมสิทธิ์อยู่เพราะยังขายไม่ได้
ทำให้ผู้สมัครของโครงการ ทั้งที่เป็นลูกบ้านและไม่ได้เป็นลูกบ้าน ได้กลับเข้ามาเป็นกรรมการ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับโครงการในการบริหารคอนโดอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่พอใจของลูกบ้านที่มาลงคะแนน เกิดการประท้วงค่อนข้างรุนแรง แต่สุดท้ายก็คัดค้านอะไรไม่ได้ เพราะโครงการให้นักกฏหมายมานั่งตอบคำถามเพื่ออ้างสิทธิตามกฎหมาย
- เรื่องจบลงแบบวนไป วนมาที่เดิม....ด้วยความหวังว่า คณะกรรมการชุดใหม่ ซึ่งเป็นฝ่ายลูกบ้านประมาณ 5 คนจะสามารถจัดการกับ นิติบุคคลใหม่ เนื่องจาก พี่อัศวิน โดนเล่นงานมาก เลยหมั่นไส้ลูกบ้าน จึงมาขอลาออกในที่ประชุมซะเฉยๆ โดยบอกว่าจะทำงานต่อให้อีกเป็นเวลา 1 เดือน ให้ลูกบ้านและคณะกรรมการหานิติบุคคลเจ้าใหม่มาดูแล ซึ่งจริงๆ สัญญาก็ใกล้จะหมดอยู่แล้ว เหมือนจะแกล้งให้ป่วน นี่หรือ ที่เค้าบอกว่าเค้า professional
- ยังมีลูกบ้านอีกเป็นจำนวนมาก ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการควบคุมคุณภาพที่ขาดความรับผิดชอบ และเร่งแต่จะให้โอนก่อนแก้งานเสร็จ
มีอีกหลายห้องที่ ยังน้ำเอ่อท่วม รวมถึงโดนฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหาย เนื่องจากไม่ยอมโอนตาม สัญญาซื้อขายที่ระบุไว้
ยัง มีอีกหลายเรื่องที่ไม่โปร่งใส ที่ใครจะไปคิดว่า เค้าทำกันได้ขนาดนี้ เช่น ห้องฟิตเนส อุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ในโถงส่วนกลาง พื้นที่จัดเลี้ยงใต้ตึกคอนโด สวนริมน้ำ ซึ่งทางโครงการอ้างว่า กรณีปิดโครงการขายหมด 100% พื้นที่เหล่านี้จะยังเป็นของโครงการ ไม่ถือรวมเป็นทรัพย์สินของส่วนกลางที่มอบให้ผู้ซื้อ ห้ามใช้ ห้ามเข้า ก่อนได้รับอนุญาต ที่เค้าอนุญาตให้ใช้ในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นการอนุโลมมากแล้ว
โดยในบางส่วนของปัญหา กรรมการชุดเดิมได้ต่อสู้ จนแก้ปัญหากับทางโครงการไปได้บ้างแล้ว เช่น อุปกรณ์ในส่วนสโมสรฟิตเนส เฟอร์นิเจอร์ในส่วนโถงทางขึ้น ซึ่งทางโครงการได้อ้างว่า ทำการซื้อและออกเงินไปให้ล่วงหน้าเป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท โดยโครงการจะมาขอเก็บเงินค่าสิ่งของเหล่านี้จากเงินส่วนกลาง โดยตั้งเบิกไว้ที่นิติบุคคล แต่กรรมการผู้ตรวจสอบ ได้มาตรวจพบก่อน และเห็นว่าไม่เป็นธรรม เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกนำมาติดตั้งไว้ โดยลูกบ้านไม่ได้ผ่านการเห็นชอบให้ซื้อ
และเอาเข้าจริงๆ.....ทุกท่านมีความเห็นอย่างไรคะ กับการที่ทางโครงการจะเก็บค่าใช้จ่ายเหล่านี้จากลูกบ้าน.....
โดยในช่วงแรก โครงการยืนยันเสียงแข็งว่าได้ระบุไว้ในสัญญา (ซึ่งไม่มีใครเคยเห็นก่อนตัดสินใจซื้อคอนโด) และมีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
....นิทาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ลูกบ้านเป็นเพียงแค่เจ้าของห้องเท่านั้น โครงการขายแต่ห้อง ไม่ได้แถม facilites ถ้าอยากได้ อยากใช้ต้องจ่ายสตางค์มา โดยใช้เงินกองกลางล่วงหน้าซื้อส่วนเหล่านี้จากเค้า จึงจะมีสิทธิใช้ตามกฎหมาย..... ดังนั้นก่อนคุณจะซื้อคอนโดสักห้อง ต้องเตรียมเงินอีกสักก้อนใหญ่ๆ เตรียมไว้ซื้อ สาธารณูปโภคส่วนกลาง....ถ้าเจ้าของโครงการทุกคนคิดหาประโยชน์จากลูก บ้านอย่างนี้.....
.......มันน่าสมเพสเค้าจริงๆ ค่ะ......
ที่เจ็บที่สุดคือ ส่วนริมน้ำ ทั้งห้องจัดเลี้ยงและสวนหย่อม ที่เป็นจุดขายของโครงการ ที่ทำเอา พ่อกับแม่หลงกลจองในวันแรก ปัจจุบันโครงการอ้างว่า เป็นส่วนที่โครงการสามารถขายหรือให้เช่าแก่ใครก็ได้ในอนาคต ไม่ใช่พื้นที่ส่วนกลางที่ลูกบ้านมีสิทธิอันชอบในการใช้ได้ โดยโครงการได้ทำหลักฐาน หรือแฝงข้อความเอาไว้อย่างเฉลียวฉลาด ไม่มีใครคิดหรอกค่ะว่าเค้ากล้า เจ้าของออกทีวีโฆษณาว่า ที่นี่เป็นคอนโดไฮเอน ที่เค้ารวมเอาสิ่งที่ดีที่สุดที่เค้าเคยไปดูจากทั่วโลกมาไว้ที่นี่ แต่จริงๆ แย่กว่าบ้านจัดสรรทั่วไปซะอีก
รายละเอียดจริงๆ มีมากกว่านี้เยอะค่ะ เล่าอีกอาทิตย์ก็ไม่จบ
ถ้าฟังจนหมด คนฟังคงคิดว่าทำไม พวกเราฉลาดน้อยขนาดนี้....
ตอนนี้รู้สึกเหมือนโดนสวมเขาให้สักโหลนึง จนหัวจะไม่มีที่ให้ผมขึ้นแล้ว
หลาย ๆ ท่านที่ซื้อที่นี้ ได้แต่เจ็บ เพราะว่าเค้าซื้อบ้านที่จะอยู่ไปตลอดชีวิต
แต่กลับได้ของมีตำหนิ แถมโดนย่ำยี จากเจ้าของโครงการ
มันเศร้าจนหาอะไรเปรียบไม่ได้จริงๆ
โดยส่วนตัว ยังหวังใจอยู่ว่า คงมีโครงการคอนโดอีกมากที่เค้าบริหารจัดการดีๆ
และไม่เอาเปรียบผู้บริโภคเหมือนยี่ห้อนี้
ท่านที่ทำดี ขอให้ทำดีต่อไปนะคะ....อย่าอ่านเรื่องนี้ แล้วคิดว่า
โอ้โห เค้าทำได้ขนาดนี้เลยหรอ อย่างงี้น่าทำบ้างนะ เลยนะคะ
ยาวจริงๆ....เครียดอีกต่างหาก
หวังว่าทุกท่านคงจะได้อะไรจากปัญหาที่พวกเราเล่าให้ฟังบ้าง
ว่าสิ่งที่ควรทำ ควรระวัง และไม่ควรมองข้ามนั้นอยู่รอบตัวเราเสมอ
ขอบคุณที่ติดตามมาจนจบค่ะ....อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ขออภัยนะคะ
พบกันใหม่บล็อคหน้าค่ะ.....
Create Date : 30 มิถุนายน 2552
ที่มา Bloggang
10 ข้อแนะนำ ก่อนซื้อบ้าน - คอนโดหลังแรก
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
ข้อมูลบางส่วนของไมเคิล ไอเซนเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญการเงินส่วนบุคคล จากเวบไซต์ฟิเดลิตี้ กองทุนใหญ่อันดับหนึ่งของสหรัฐ ในหัวเรื่อง "10 เคล็ดลับแนะนำผู้บริโภคซื้อบ้านหลังแรก" เพื่อช่วยคนไทยที่อยากซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมหลังแรกไว้เป็นของตัวเอง โดยฉบับนี้ไอเซนเบิร์กยังมีคำแนะนำอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ มาฝากคนไทยทั้งในและต่างประเทศได้นำข้อมูลของเขา ไว้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อตั้งข้อสังเกตให้ฉุกคิด แบบผู้ที่เริ่มต้นจากพื้นฐานไม่มีความแน่ใจหรือไม่รู้อะไรเลย และต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน
@ "ต้องมีเงินออมเผื่อฉุกเฉิน" เป็นอีกไอเดียเตือนใจก่อนให้ความเห็นในแง่บวกของไอเซนเบิร์กที่ว่า หากคุณมีเงินสดอยู่ในมือเพียงพอ ที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตนาน 3-6 เดือน นั่นหมายถึงการก้าวเข้าใปใกล้สถานะเตรียมตัวเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดได้แล้ว
แต่ ไอเซนเบิร์กขอให้ผู้บริโภคคนไทย นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ดี ที่จะทำให้รายได้ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องเกิดสะดุด เช่น กรณีเจ็บป่วยรุนแรง การปลดพนักงาน หรือแม้แต่หายนภัย ซึ่งเป็นเหตุไม่คาดฝัน ทำให้คุณไม่สามารถทำงานหารายได้ตามปกติ คุณต้องแน่ใจก่อนว่ายังมีเงินรองรัง ช่วยให้การชำระหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยไม่สะดุด และสามารถผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากไปได้
@ "สามารถคุมหนี้ไม่ให้บานปลายได้" บรรดาสถาบันการเงินต่างๆ ที่เป็นเจ้าหนี้ปล่อยกู้ทุกวันนี้ มีระบบที่สร้างความมั่นใจได้ว่า ลูกหนี้หรือผู้ซื้อบ้านต้องการเงินกู้ มีเงินเพียงพอแต่ละเดือนเพื่อชำระหนี้ ดังนั้น ก่อนที่บรรดาธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นเป็นเจ้าหนี้อนุมัติสินเชื่อให้ ลูกหนี้ จะพิจารณาสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของผู้กู้เสียก่อน
แต่โดยทั่ว ไปแล้ว ไอเซนเบิร์กต้องการให้ลูกหนี้ประเมินตัวเองเสียก่อน ให้แน่ใจได้ว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนเฉพาะบ้าน ซึ่งรวมถึงเงินโอน ดอกเบี้ยกับภาษีและเงินประกันภัย หากรวมแล้วต้องไม่มากเกิน 33% ของรายได้รวมในแต่ละเดือน
ขณะที่ภาระหนี้ต้องผ่อนในแต่ละเดือน ซึ่งหนี้เหล่านี้รวมถึงหนี้ต้องผ่อนบ้าน หนี้บัตรเครดิต หนี้เพื่อการศึกษา และหนี้ต้องผ่อนชำระค่ารถยนต์ ต้องต่ำกว่า 38% ของค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ดังนั้นเป็นไอเดียที่ดีกว่า หากผู้คิดจะซื้อบ้าน ซึ่งเดิมมีหนี้ก้อนใหญ่จะพยายามลดมูลหนี้ให้น้อยลง ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ และต้องมั่นใจก่อนว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขอเงินกู้ได้มากตามความ จำเป็น
@ "แน่ใจหรือยังประวัติเครดิตขอสินเชื่อไม่มีปัญหา" ในต่างประเทศตอนนี้ ผู้ขอกู้ซื้อที่อยู่อาศัย ไม่จำเป็นต้องมีประวัติการขอสินเชื่อดี 100% เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับอนุมัติเงินกู้ซื้อบ้าน แต่ประวัติการเงินพอใช้หรือผ่านได้ก็สามารถช่วยให้ผู้ขอกู้ ได้ดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนชำระลดลง และจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละเดือนผ่อนได้น้อยลงด้วย
ในสหรัฐคนไทย ที่พำนักอยู่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ให้ตรวจสอบประวัติการเงินของตัวเองได้ทุกปีจากเวบไซต์ www.annualcreditreport.com โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ โดยข้อมูลที่เข้าไปตรวจสอบเป็นข้อมูลได้จากเครดิตบูโรสำคัญ 3 แห่ง
ดัง นั้น ผู้บริโภคที่อยากขอกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย สามารถเข้าไปดูข้อมูลซึ่งบรรดาสถาบันการเงินก็ใช้เป็นข้อมูลตรวจสอบเช่นกัน ก่อนตัดสินใจให้เงินกู้ คำแนะนำในข้อนี้ช่วยให้ผู้ขอกู้ เพิ่มความระมัดระวังประวัติการเงินการขอสินเชื่อของตัวเอง ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ให้กู้ได้
@ "ซื้อที่อยู่อาศัยควรถือครองสิทธิไว้ให้นานที่สุด" ข้อนี้เป็นการเตือนใจให้ผู้คิดจะซื้อบ้านหรือคอนโดว่า พร้อมหรือทำใจหรือยังว่าการมีบ้านหรือคอนโดเป็น ของตัวเอง ควรอยู่ให้นานอย่างน้อย 3-5 ปีได้หรือไม่ ต้องคำนึงถึงระยะเวลาด้วยว่า จะทำที่พักอาศัยให้เรียบร้อยลงตัว ก่อนที่คิดจะทำธุรกรรมขายต่อได้หรือไม่
เพราะถ้าขายก่อนเวลาอันควร ผู้ซื้ออาจขาดทุนจากธุรกรรม ในต่างประเทศอย่างสหรัฐ หากผู้ซื้อคิดทำกำไรกลับคืนจากการซื้อที่อยู่อาศัย เจ้าของบ้านต้องจ่ายภาษีจากกำไรที่ขายได้ หากพักอาศัยอยู่ในบ้านไม่ถึง 2 ปี ระยะเวลาการพักอาศัยจึงสำคัญมาก และถ้าคิดว่าไม่สามารถพักอาศัยได้นาน ผู้ซื้ออาจคิดอีกทางหนึ่งคือซื้อเพื่อธุรกิจให้เช่าจะดีกว่า
@ "ฉลาดเตรียมตัวเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์" ไอเซนเบิร์กเตือนว่า แม้คุณสามารถซื้อหรือเป็นเจ้าของที่พักอาศัยได้ อย่าตัดสินใจง่ายๆ เพียงเพราะมีศักยภาพการเงินที่จะซื้อ แต่ขอให้แน่ใจก่อนว่าพร้อมจะใช้ชีวิต สามารถดำเนินการดูแลบำรุงสถานที่อยู่อาศัยได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในเมื่อการเป็นเจ้าของที่พักอาศัย หากเกิดชำรุดเสียหาย ผู้ซื้อหรือเจ้าของต้องเป็นคนจัดการ และต้องจ่ายเงินให้ช่างซ่อมแซมแทน
นอก จากนี้เจ้าของหรือผู้ซื้อ ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายดูแลบ้านเป็นประจำด้วย ซึ่งรวมถึงงานบำรุงรักษาบ้านเล็กๆ น้อยๆ อย่างสนามหญ้ากับงานโกยหิมะ ในกรณีที่คุณซื้อที่พักอาศัยในต่างประเทศ ขอให้นึกถึงอนาคตหลังการซื้อว่า มีเวลากับพลังและความมุ่งมั่นที่จะดูแลอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองอย่างจริง จังหรือไม่
@ "ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม" คือคำแนะนำสุดท้ายที่ไอเซนเบิร์กอยากให้ผู้บริโภคคนไทยในสหรัฐ เข้าไปตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จากเวบไซต์ www.360financialliteracy.org ของ American Institute of Certified Public Accountants' หรือ เอไอซีพีเอ
โดยคุณสามารถเจาะเข้าไปในเวบไซต์ข้าง ต้น เพื่อดูประเด็นและหัวข้อเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคล เพื่อหาข้อมูลหรือทางเลือก ที่จะช่วยจัดการบริหารการเงินของตัวเองได้ สำหรับเวบไซต์ของเอไอซีพีเอนั้นรวบรวมบทความ วิธีการคำนวณ และเครื่องมืออื่นๆ ที่ช่วยให้คนไทยในสหรัฐและในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รอบคอบและระวังทุกๆ ด้าน ก่อนตัดสินใจควักเงินซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกในชีวิตของตัวเอง
บทความจาก
thaihomemasterm
โดย ดร.ศุภวิศวร์ ปัญญาสกุลวงศ์ และ คุณกฤษณ์ แย้มสระโส
ข้อมูลบางส่วนของไมเคิล ไอเซนเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญการเงินส่วนบุคคล จากเวบไซต์ฟิเดลิตี้ กองทุนใหญ่อันดับหนึ่งของสหรัฐ ในหัวเรื่อง "10 เคล็ดลับแนะนำผู้บริโภคซื้อบ้านหลังแรก" เพื่อช่วยคนไทยที่อยากซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมหลังแรกไว้เป็นของตัวเอง โดยฉบับนี้ไอเซนเบิร์กยังมีคำแนะนำอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ มาฝากคนไทยทั้งในและต่างประเทศได้นำข้อมูลของเขา ไว้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อตั้งข้อสังเกตให้ฉุกคิด แบบผู้ที่เริ่มต้นจากพื้นฐานไม่มีความแน่ใจหรือไม่รู้อะไรเลย และต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน
@ "ต้องมีเงินออมเผื่อฉุกเฉิน" เป็นอีกไอเดียเตือนใจก่อนให้ความเห็นในแง่บวกของไอเซนเบิร์กที่ว่า หากคุณมีเงินสดอยู่ในมือเพียงพอ ที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตนาน 3-6 เดือน นั่นหมายถึงการก้าวเข้าใปใกล้สถานะเตรียมตัวเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดได้แล้ว
แต่ ไอเซนเบิร์กขอให้ผู้บริโภคคนไทย นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ดี ที่จะทำให้รายได้ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องเกิดสะดุด เช่น กรณีเจ็บป่วยรุนแรง การปลดพนักงาน หรือแม้แต่หายนภัย ซึ่งเป็นเหตุไม่คาดฝัน ทำให้คุณไม่สามารถทำงานหารายได้ตามปกติ คุณต้องแน่ใจก่อนว่ายังมีเงินรองรัง ช่วยให้การชำระหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยไม่สะดุด และสามารถผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากไปได้
@ "สามารถคุมหนี้ไม่ให้บานปลายได้" บรรดาสถาบันการเงินต่างๆ ที่เป็นเจ้าหนี้ปล่อยกู้ทุกวันนี้ มีระบบที่สร้างความมั่นใจได้ว่า ลูกหนี้หรือผู้ซื้อบ้านต้องการเงินกู้ มีเงินเพียงพอแต่ละเดือนเพื่อชำระหนี้ ดังนั้น ก่อนที่บรรดาธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นเป็นเจ้าหนี้อนุมัติสินเชื่อให้ ลูกหนี้ จะพิจารณาสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของผู้กู้เสียก่อน
แต่โดยทั่ว ไปแล้ว ไอเซนเบิร์กต้องการให้ลูกหนี้ประเมินตัวเองเสียก่อน ให้แน่ใจได้ว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนเฉพาะบ้าน ซึ่งรวมถึงเงินโอน ดอกเบี้ยกับภาษีและเงินประกันภัย หากรวมแล้วต้องไม่มากเกิน 33% ของรายได้รวมในแต่ละเดือน
ขณะที่ภาระหนี้ต้องผ่อนในแต่ละเดือน ซึ่งหนี้เหล่านี้รวมถึงหนี้ต้องผ่อนบ้าน หนี้บัตรเครดิต หนี้เพื่อการศึกษา และหนี้ต้องผ่อนชำระค่ารถยนต์ ต้องต่ำกว่า 38% ของค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ดังนั้นเป็นไอเดียที่ดีกว่า หากผู้คิดจะซื้อบ้าน ซึ่งเดิมมีหนี้ก้อนใหญ่จะพยายามลดมูลหนี้ให้น้อยลง ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ และต้องมั่นใจก่อนว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขอเงินกู้ได้มากตามความ จำเป็น
@ "แน่ใจหรือยังประวัติเครดิตขอสินเชื่อไม่มีปัญหา" ในต่างประเทศตอนนี้ ผู้ขอกู้ซื้อที่อยู่อาศัย ไม่จำเป็นต้องมีประวัติการขอสินเชื่อดี 100% เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับอนุมัติเงินกู้ซื้อบ้าน แต่ประวัติการเงินพอใช้หรือผ่านได้ก็สามารถช่วยให้ผู้ขอกู้ ได้ดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนชำระลดลง และจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละเดือนผ่อนได้น้อยลงด้วย
ในสหรัฐคนไทย ที่พำนักอยู่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ให้ตรวจสอบประวัติการเงินของตัวเองได้ทุกปีจากเวบไซต์ www.annualcreditreport.com โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ โดยข้อมูลที่เข้าไปตรวจสอบเป็นข้อมูลได้จากเครดิตบูโรสำคัญ 3 แห่ง
ดัง นั้น ผู้บริโภคที่อยากขอกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย สามารถเข้าไปดูข้อมูลซึ่งบรรดาสถาบันการเงินก็ใช้เป็นข้อมูลตรวจสอบเช่นกัน ก่อนตัดสินใจให้เงินกู้ คำแนะนำในข้อนี้ช่วยให้ผู้ขอกู้ เพิ่มความระมัดระวังประวัติการเงินการขอสินเชื่อของตัวเอง ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ให้กู้ได้
@ "ซื้อที่อยู่อาศัยควรถือครองสิทธิไว้ให้นานที่สุด" ข้อนี้เป็นการเตือนใจให้ผู้คิดจะซื้อบ้านหรือคอนโดว่า พร้อมหรือทำใจหรือยังว่าการมีบ้านหรือคอนโดเป็น ของตัวเอง ควรอยู่ให้นานอย่างน้อย 3-5 ปีได้หรือไม่ ต้องคำนึงถึงระยะเวลาด้วยว่า จะทำที่พักอาศัยให้เรียบร้อยลงตัว ก่อนที่คิดจะทำธุรกรรมขายต่อได้หรือไม่
เพราะถ้าขายก่อนเวลาอันควร ผู้ซื้ออาจขาดทุนจากธุรกรรม ในต่างประเทศอย่างสหรัฐ หากผู้ซื้อคิดทำกำไรกลับคืนจากการซื้อที่อยู่อาศัย เจ้าของบ้านต้องจ่ายภาษีจากกำไรที่ขายได้ หากพักอาศัยอยู่ในบ้านไม่ถึง 2 ปี ระยะเวลาการพักอาศัยจึงสำคัญมาก และถ้าคิดว่าไม่สามารถพักอาศัยได้นาน ผู้ซื้ออาจคิดอีกทางหนึ่งคือซื้อเพื่อธุรกิจให้เช่าจะดีกว่า
@ "ฉลาดเตรียมตัวเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์" ไอเซนเบิร์กเตือนว่า แม้คุณสามารถซื้อหรือเป็นเจ้าของที่พักอาศัยได้ อย่าตัดสินใจง่ายๆ เพียงเพราะมีศักยภาพการเงินที่จะซื้อ แต่ขอให้แน่ใจก่อนว่าพร้อมจะใช้ชีวิต สามารถดำเนินการดูแลบำรุงสถานที่อยู่อาศัยได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในเมื่อการเป็นเจ้าของที่พักอาศัย หากเกิดชำรุดเสียหาย ผู้ซื้อหรือเจ้าของต้องเป็นคนจัดการ และต้องจ่ายเงินให้ช่างซ่อมแซมแทน
นอก จากนี้เจ้าของหรือผู้ซื้อ ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายดูแลบ้านเป็นประจำด้วย ซึ่งรวมถึงงานบำรุงรักษาบ้านเล็กๆ น้อยๆ อย่างสนามหญ้ากับงานโกยหิมะ ในกรณีที่คุณซื้อที่พักอาศัยในต่างประเทศ ขอให้นึกถึงอนาคตหลังการซื้อว่า มีเวลากับพลังและความมุ่งมั่นที่จะดูแลอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองอย่างจริง จังหรือไม่
@ "ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม" คือคำแนะนำสุดท้ายที่ไอเซนเบิร์กอยากให้ผู้บริโภคคนไทยในสหรัฐ เข้าไปตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จากเวบไซต์ www.360financialliteracy.org ของ American Institute of Certified Public Accountants' หรือ เอไอซีพีเอ
โดยคุณสามารถเจาะเข้าไปในเวบไซต์ข้าง ต้น เพื่อดูประเด็นและหัวข้อเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคล เพื่อหาข้อมูลหรือทางเลือก ที่จะช่วยจัดการบริหารการเงินของตัวเองได้ สำหรับเวบไซต์ของเอไอซีพีเอนั้นรวบรวมบทความ วิธีการคำนวณ และเครื่องมืออื่นๆ ที่ช่วยให้คนไทยในสหรัฐและในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รอบคอบและระวังทุกๆ ด้าน ก่อนตัดสินใจควักเงินซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกในชีวิตของตัวเอง
บทความจาก
thaihomemasterm
โดย ดร.ศุภวิศวร์ ปัญญาสกุลวงศ์ และ คุณกฤษณ์ แย้มสระโส
ปัจจัยอยู่คอนโดให้มีความสุข
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
คอลัมน์: ครบเครื่องคนรักบ้าน: ปัจจัยอยู่คอนโดให้มีความสุข
การใช้ชีวิตอยู่ในตึกสูงระฟ้าที่เราเรียกๆ กันว่า “คอนโดมิเนียม” หลายๆ คนบ่นว่าสู้อยู่บ้านติดพื้นดินจะดีกว่ากันเยอะ ต่างคนก็ต่างจิตต่างใจ ถ้าจะว่าไปแล้วทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุด ล้วนมีข้อดีและข้อเสียพอๆ กัน
แต่การที่จะไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังเข้าพักอาศัยนั้นอยู่ตรงการ “เตรียมการ” ป้องกันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ต่างหากเล่า ในฐานะที่ผมมีประสบการณ์ทั้งด้านขาย ด้านอยู่อาศัยและด้านบริหารหลังขาย มานานร่วมสิบปีเศษๆ ขอนำมาบอกเล่าสู่กันฟังเป็น วิทยาทาน
“โครงการดี” เป็นองค์ประกอบประการแรก ที่จะทำให้อยู่รังนกกระจอกมีความสุข จะรู้ได้ยังไงว่าโครงการที่เปิดขายกันเกร่อนั้น “ดี” หรือ “เลว” คงจะต้องพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
“รูปแบบสวยงามและตั้งอยู่ในทำเล เยี่ยม” ไม่ลึกจากถนนใหญ่หรือเข้าซอยลึกและเล็กเกินไป
“ระบบป้องกันภัยทันสมัย” โดยเฉพาะเรื่องเพลิงไหม้ จะต้องมีทางหนีไฟ และเครื่องปั๊มฉีดน้ำที่พร้อมใช้การได้ตลอดเวลา
นอกจากนั้นการก่อสร้างจะต้องมั่นคงแข็งแรงทุกๆ ด้าน ส่วนวัสดุอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นประตูหน้าต่างและสุขภัณฑ์จะต้องอยู่ในระดับ มาตรฐานหาซื้อได้ในท้องตลอด รวมทั้งมีสิ่งอำนวยหรือเอื้อประโยชน์สุข อาทิ สระว่ายน้ำ สนามเทนนิสและคลับเฮาส์ เหมาะสมไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปนัก
สิ่งที่ควรพิจารณาให้ละเอียดลึกซึ้งในเรื่องสิ่งอำนวยประโยชน์สุขอีก ประการคือ ต้องตรงกับวัตถุประสงค์ที่เราใช้ด้วย มิฉะนั้นอาจจะมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจ อีตอนควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าดูแลบำรุงรักษาและซ่อมแซมในแต่ละเดือน
องค์ประกอบในการพักอาศัยบนอาคารสูงให้มีความสุขประการที่สอง ต้องเลือกซื้อแต่เฉพาะ “เจ้าของโครงการที่ดีๆ” จะพินิจพิจารณาในประเด็นไหนบ้าง ผมจะบอกวิธีสังเกตให้สัก 4-5 ประการ อย่างเช่น “มีพฤติกรรมตรงไปตรงมาไม่หมกเม็ด” “มีความเห็นอกเห็นใจลูกค้า โดยเฉพาะการผ่อนผันเมื่อผู้ซื้อมีปัญหาติดขัดค่างวดเงินดาวน์”
“ไม่หลบลี้หนีหน้ายามเกิดอุบัติภัย อย่างเช่น น้ำท่วม และผู้อยู่อาศัยขอความช่วยเหลือ” “ไปไหนมาไหนไม่ต้องมีมือปืนล้อมหน้าล้อมหลังคุ้มกัน” และ “ไม่มีข่าวคราวถูกลูกค้าร้องเรียน ทั้งที่ สคบ. และทั้งที่ตำรวจเศรษฐกิจ” เป็นต้น
องค์ประกอบในการอยู่บ้านลอยฟ้าให้มีความสุขประการที่สาม ต้องเลือกซื้อห้องชุดติดๆ กับ “เพื่อนบ้านที่ดีๆ” ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง จะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนมีปัญหาและคนไหนน่าจะอยู่ใกล้ๆ ให้สังเกตพฤติกรรมต่อไปนี้ “ไม่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง” “ไม่ส่งเสียงดัง” “ไม่เปลี่ยนแปลงประโยชน์การใช้สอยห้องชุดจากพักอาศัย ไปเป็นร้านขายอาหารหรือเป็นผับเป็นเลานจ์”
องค์ประกอบในการอยู่คอนโดมิเนียมให้มีความสุขประการที่สี่ จะต้องเฟ้นหา “ผู้บริหารหลังการขายที่ดีๆ” โดยพิจารณาจากการปฏิบัติหน้าที่ประจำวันใน 3-4 อย่างต่อไปนี้ “มีประสบการณ์” “ขยัน อดทนและเสียสละ” “ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง” “แม่นข้อมูล” โดยเฉพาะกฎระเบียบข้อบังคับ และ พ.ร.บ.อาคารชุด
องค์ประกอบในการอยู่อาคารชุดให้มีความสุขประการสุดท้ายคือ “ตัวเรา” นั่นแหละต้อง “ดี” ด้วย
ผู้เป็นเจ้าของห้องชุดจะต้องมีคุณสมบัติ 4 ร. หรือ “สี่รู้”
หนึ่ง “รู้ปัญหา” ทั้งของตัวเราเอง ทั้งของตึกสูง และของเพื่อนบ้าน สอง “รู้กฎกติกา” ในการอยู่ร่วมกัน สาม “รู้ภาระหน้าที่” โดยเฉพาะการชำระค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษาทรัพย์ส่วนกลาง รวมทั้งการเข้าร่วมประชุมใหญ่และกิจกรรม สี่ “รู้จักให้อภัย” หนักนิดเบาหน่อยก็โปรดอย่าได้ถือสาหาความ คอยแต่จับผิดและเอาเรื่องเอาราวแบบนักการเมืองนักเลย
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
อยู่คอนโด ให้ปลอดภัย
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
ในชั่วโมงนี้ คงไม่มีอะไรมาฉุดความร้อนแรงของตลาดคอนโดอีกแล้ว ความต้องการอยู่อาศัยในคอนโด กำลังเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมของกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ในเมืองไทยขณะนี้ และจะกลายเป็นรูปแบบการอยู่อาศัยหลักของเมืองหลวงแห่งนี้ในอนาคต
ทั้ง นี้ ต้องไม่ลืมว่าการอยู่รวมกันมาก ๆ ไม่เพียงแต่จะมีโอกาสเกิดเรื่องราวกระทบกระทั่งกันระหว่างห้อง ดังคำพูดที่ว่า “มากคนก็มากความ” แต่ยิ่งมากคน ความปลอดภัยก็อาจน้อยลงไปด้วย
Tip ครั้งนี้ มีข้อมูลในการพิจารณาเกี่ยวรับระบบความปลอดภัยในตึกสูงมาฝากกัน เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
@ บันไดหนีไฟ กฎหมายบังคับให้อาคารสูงต้องมีบันไดหนีไฟอย่างน้อย 2 ตัว มีประตูเหล็กกันไฟและเปิดออกได้ตลอด ห้ามปิดล็อค และประตูจะต้องติด Door Closer ให้ประตูปิดได้เองป้องกันไม่ให้ควันเข้าไปในช่องบันได ภายในช่องบันไดต้องสามารถระบายอากาศได้ ทางเดินในแต่ละชั้นควรต่อเนื่องไปยังบันไดหนีไฟทั้ง 2 ตัวได้ ไม่ใช่ทางตัน เพื่อว่าในกรณีที่ทางไปบันไดตัวหนึ่งเกิดเพลิงไหม้ ไม่สามารถผ่านไปได้ ก็ยังมีอีกทางที่จะไปยังบันไดหนีไฟอีกหนึ่งตัว ทำให้เราหนีไฟได้อย่างปลอดภัย
@ ระบบเตือนเพลิงไหม้และระบบดับเพลิง ระบบเตือนเพลิงไหม้ประกอบด้วยตัวดักจับควัน (Smoke Detector) หรือตัวดักจับความร้อน (Heat Detector) ที่เห็นตามฝ้าเพดาน กรณีเกิดควันหรือความร้อนไฟไหม้อุปกรณ์ทั้งสองตัวจะส่งสัญญานเตือนไปยัง ศูนย์ควบคุม ผู้ที่อยู่ในศูนย์ฯ ก็จะทราบว่าเพลิงไหม้ที่บริเวณไหนและสามารถขึ้นไปดับเพลิงในจุดนั้นๆได้ ทันที
@ การดับเพลิง นั้นมีทั้งที่เป็นระบบอัตโนมัติหรือที่เรียกว่า Sprinkler และระบบที่ต้องใช้คนดับ คือ สายดับเพลิง ในอาคารสูงต้องมีทั้ง 2 สิ่งนี้
Sprinkler คือ ท่อน้ำที่เดินอยู่บนฝ้าเพดานแล้วต่อหัวที่มีลักษณะเป็นกระเปราะแก้วลงมากระ จายไปทั่วบริเวณ เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นถึงอุณหภูมิที่กำหนด หัว Sprinkler จะแตก น้ำในท่อซึ่งถูกปั๊มให้มีแรงดันสูงจะพ่นกระจายลงมาช่วยดับเพลิงในระยะเริ่ม ต้น ส่วนสายดับเพลิงนั้นจะต้องติดตั้งอย่างน้อยชั้นละ 1 จุด ถ้าแต่ละชั้นมีพื้นที่กว้างมากจะต้องมีสายดับเพลิงมากกว่า 1 จุด สามารถลากได้ยาว 30 เมตร ตำแหน่งที่ติดตั้งต้องครอบคลุมทุกบริเวณ
ภาย ในอาคารสูงต้องมีลิฟต์ 1 ตัวที่จะใช้เป็นช่องทางสำหรับพนักงานดับเพลิง และภายในโถงลิฟต์ดับเพลิงจะต้องมีสายดับเพลิงติดตั้งอยู่ด้วย
ในอาคารสูงไม่เพียงแต่จะต้องมีระบบเหล่านี้ครบถ้วนเท่านั้น แต่ทุกระบบต้องตรวจสอบสภาพให้พร้อมใช้งานได้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ควรได้รับการฝึกฝนและพร้อมอยู่เสมอ ขณะเดียวกันผู้อยู่อาศัย ก็ต้องมีการซ้อมหนีไฟเพื่อให้รู้จักวิธีการปฏิบัติตนเมื่อเกิดเพลิงไหม้ เหตุฉุกเฉินดังกล่าว
..…ทราบอย่างนี้แล้ว เวลาเค้านัดซ้อมหนีไฟ อย่าเบี้ยวเสียล่ะ...
ที่มา Hometophit
ในชั่วโมงนี้ คงไม่มีอะไรมาฉุดความร้อนแรงของตลาดคอนโดอีกแล้ว ความต้องการอยู่อาศัยในคอนโด กำลังเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมของกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ในเมืองไทยขณะนี้ และจะกลายเป็นรูปแบบการอยู่อาศัยหลักของเมืองหลวงแห่งนี้ในอนาคต
ทั้ง นี้ ต้องไม่ลืมว่าการอยู่รวมกันมาก ๆ ไม่เพียงแต่จะมีโอกาสเกิดเรื่องราวกระทบกระทั่งกันระหว่างห้อง ดังคำพูดที่ว่า “มากคนก็มากความ” แต่ยิ่งมากคน ความปลอดภัยก็อาจน้อยลงไปด้วย
Tip ครั้งนี้ มีข้อมูลในการพิจารณาเกี่ยวรับระบบความปลอดภัยในตึกสูงมาฝากกัน เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
@ บันไดหนีไฟ กฎหมายบังคับให้อาคารสูงต้องมีบันไดหนีไฟอย่างน้อย 2 ตัว มีประตูเหล็กกันไฟและเปิดออกได้ตลอด ห้ามปิดล็อค และประตูจะต้องติด Door Closer ให้ประตูปิดได้เองป้องกันไม่ให้ควันเข้าไปในช่องบันได ภายในช่องบันไดต้องสามารถระบายอากาศได้ ทางเดินในแต่ละชั้นควรต่อเนื่องไปยังบันไดหนีไฟทั้ง 2 ตัวได้ ไม่ใช่ทางตัน เพื่อว่าในกรณีที่ทางไปบันไดตัวหนึ่งเกิดเพลิงไหม้ ไม่สามารถผ่านไปได้ ก็ยังมีอีกทางที่จะไปยังบันไดหนีไฟอีกหนึ่งตัว ทำให้เราหนีไฟได้อย่างปลอดภัย
@ ระบบเตือนเพลิงไหม้และระบบดับเพลิง ระบบเตือนเพลิงไหม้ประกอบด้วยตัวดักจับควัน (Smoke Detector) หรือตัวดักจับความร้อน (Heat Detector) ที่เห็นตามฝ้าเพดาน กรณีเกิดควันหรือความร้อนไฟไหม้อุปกรณ์ทั้งสองตัวจะส่งสัญญานเตือนไปยัง ศูนย์ควบคุม ผู้ที่อยู่ในศูนย์ฯ ก็จะทราบว่าเพลิงไหม้ที่บริเวณไหนและสามารถขึ้นไปดับเพลิงในจุดนั้นๆได้ ทันที
@ การดับเพลิง นั้นมีทั้งที่เป็นระบบอัตโนมัติหรือที่เรียกว่า Sprinkler และระบบที่ต้องใช้คนดับ คือ สายดับเพลิง ในอาคารสูงต้องมีทั้ง 2 สิ่งนี้
Sprinkler คือ ท่อน้ำที่เดินอยู่บนฝ้าเพดานแล้วต่อหัวที่มีลักษณะเป็นกระเปราะแก้วลงมากระ จายไปทั่วบริเวณ เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นถึงอุณหภูมิที่กำหนด หัว Sprinkler จะแตก น้ำในท่อซึ่งถูกปั๊มให้มีแรงดันสูงจะพ่นกระจายลงมาช่วยดับเพลิงในระยะเริ่ม ต้น ส่วนสายดับเพลิงนั้นจะต้องติดตั้งอย่างน้อยชั้นละ 1 จุด ถ้าแต่ละชั้นมีพื้นที่กว้างมากจะต้องมีสายดับเพลิงมากกว่า 1 จุด สามารถลากได้ยาว 30 เมตร ตำแหน่งที่ติดตั้งต้องครอบคลุมทุกบริเวณ
ภาย ในอาคารสูงต้องมีลิฟต์ 1 ตัวที่จะใช้เป็นช่องทางสำหรับพนักงานดับเพลิง และภายในโถงลิฟต์ดับเพลิงจะต้องมีสายดับเพลิงติดตั้งอยู่ด้วย
ในอาคารสูงไม่เพียงแต่จะต้องมีระบบเหล่านี้ครบถ้วนเท่านั้น แต่ทุกระบบต้องตรวจสอบสภาพให้พร้อมใช้งานได้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ควรได้รับการฝึกฝนและพร้อมอยู่เสมอ ขณะเดียวกันผู้อยู่อาศัย ก็ต้องมีการซ้อมหนีไฟเพื่อให้รู้จักวิธีการปฏิบัติตนเมื่อเกิดเพลิงไหม้ เหตุฉุกเฉินดังกล่าว
..…ทราบอย่างนี้แล้ว เวลาเค้านัดซ้อมหนีไฟ อย่าเบี้ยวเสียล่ะ...
ที่มา Hometophit
การเลือกซื้อคอนโดมิเนียม
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
เมื่อคุณตัดสินใจจะซื้อคอนโดมิเนียม สิ่งที่คุณควรคำนึงถึงก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง ทำเล, งบประมาณ และขนาดพื้นที่ของห้องที่คุณต้องการซื้อ หลายท่านอาจจะเลือกคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับที่ทำงาน บางท่านเลือกใกล้สถานศึกษา ตลอดไปจนถึงห้างสรรพสินค้า หรือ โรงพยาบาล สำหรับงบประมาณนั้นโดยปกติแล้วก็ขึ้นอยู่กับราคาของทำเล ที่ดิน การก่อสร้าง และสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อพิจารณาเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการจะซื้อคอนโด อย่างไรก็ตามการตรวจสอบรายละเอียดของตัวอาคาร และเรื่องเอกสารต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรที่จะละเลย นอกเหนือไปจากทำเล และ งบประมาณ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง สิ่งที่คุณควรตรวจสอบก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียม
ขนาดพื้นที่
ถ้า คุณให้ความสำคัญกับขนาดพื้นที่ห้องมาก คุณก็ควรจะนำตลับเมตรไปวัดด้วยตัวคุณเองเลย ว่าตรงตามที่ผู้ขายประกาศไว้หรือไม่ เมื่อคุณทราบขนาดพื้นที่ที่ถูกต้องแล้ว คุณก็ยังสามารถนำมาคำนวณเปรียบเทียบราคาต่อตารางเมตรได้อีกด้วย
ที่จอดรถ
คุณควรตรวจสอบดูว่าพื้นที่ ที่จอดรถของคอนโดมิเนียมนั้นๆ มีเพียงพอกับจำนวนยูนิตทั้งหมดหรือไม่
การก่อสร้าง
คุณอาจจะสอบถามจากบริษัทที่ดูแลคอนโดมิเนียมได้ ว่าวัสดุที่ใช้ก่อสร้างมีความแข็งแรงคงทนเพียงไร เป็นวัสดุชนิดไหน นอกจากนี้วัสดุที่กั้นห้องมีความหนามากน้อยเพียงไร มีเสียงเล็ดลอดจากเพื่อนห้องดังไหม หรือห้องที่อยู่เหนือคุณขึ้นไป มีเสียงดังรึเปล่า ในกรณีที่มีการเดินแรงๆ
ระบบสาธรณูปโภค และรักษาความปลอดภัย
ทั้ง 2 เรื่องที่กล่าวมานี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะเข้าอยู่อาศัย ระบบน้ำไฟ เป็นอย่างไร ในกรณีที่อยู่ชั้นสูงๆ น้ำประปาไหลแรงเพียงพอหรือไม่ หากเกิดไฟดับ มีระบบไฟฉุกเฉินเพียงพอหรือไม่ การรักษาความปลอดภัย มียามตลอด 24 ชม. ระบบการจัดเก็บขยะ การจัดและรับส่งไปรษณีย์ ตรวจสอบว่ามีการติดตั้งเครื่องตรวจควัน (smoke detector) หัวฉีดน้ำ (spinkle) ในตัวอาคารและห้อง บันไดหนีไฟมีขนาดได้มาตรฐาน หรือไม่ นอกจากนี้ ตรวจสอบดูว่าลิฟท์โดยสาร มีเพียงพอกับจำนวนคนที่พักอยู่หรือไม่ เวลาการเปิดปิดลิฟท์เป็นอย่างไร
สัญญา
โดยปกติ แล้วผู้ซื้อทั่วๆ ไปจะละเลยต่อรายละเอียดของสัญญา เนื่องจากมีเนื้อหาค่อนข้างมากและเป็นตัวบทกฎหมายส่วนใหญ่ หากจะให้ดีคุณควรมีนักกฎหมายคอยให้คำแนะนำ เพื่อทราบถึงสิทธิ ผลประโยชน์ ที่คุณจะได้รับหรือเสีย ตัวอย่างเช่น หากคอนโดมิเนียมที่คุณซื้อแล้ว เกิดเพลิงไหม้เสียหายทั้งตึก คุณจะได้รับค่าชดใช้หรือไม่เพียงใด
ทำเลของห้อง
ผู้ ซื้อส่วนใหญ่ลืมที่จะคิดไปว่า ห้องที่คุณเลือกแล้วนั้น นอกจากวิวทิวทัศน์ดีแล้ว แต่แสงแดดที่ส่องเข้าห้องคุณมีผลกระทบกับคุณหรือไม่ บางคนไม่ชอบที่จะให้แดดส่องเข้าห้องในตอนบ่าย เพราะจะทำให้ห้องของคุณร้อนมาก หรือห้องบางคนไม่มีแสงเข้าเลยทั้งช่วงเช้าและบ่าย
อายุ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า อายุมีอิทธิพลกับการเลือกคอนโดมิเนียมได้อย่างไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ lifesytle ของผู้เข้าอยู่เป็นสำคัญ คอนโดมิเนียมที่คุณสนใจอยู่นั้น ผู้เข้าอาศัยอาจจะเป็นวัยรุ่นซะเป็นส่วนใหญ่ หากคุณมีครอบครัว หรือ คุณต้องการความเงียบสงบ ชุมชนนั้นเหมาะกับคุณหรือไม่ คุณจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับชุมชนได้หรือไม่ อย่าลืมว่าคอนโดมิเนียม ก็เป็นชุมชนเล็กๆ ของคุณ เช่นเพื่อนห้องที่ติดกัน
ระเบียบเงื่อนไขการอยู่อาศัยของคอนโดมิเนียม
ระเบียบข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ จะแตกต่างกันไปในแต่ละคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตามเราควรที่จะรู้ถึงข้อควรปฎิบัติและข้อห้ามเหล่านั้นด้วย โดยทั่วๆ ไปแล้ว บางคอนโดมิเนียมจะไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยง ประเภท สุนัข หรือ แมว มาเลี้ยง บางสถานที่ไม่อนุญาตให้ทำอาหารภายในห้อง โดยใช้เตาแก๊ส บางแห่งไม่อนุณาตให้ขนของ หรือต่อเติม ห้องในวันเสาร์และอาทิตย์
นิติบุคคลอาคารชุด
คงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ทุกคอนโดมิเนียมจะต้องมีนิติบุคคลอาคารชุด และ คุณก็ควรที่จะต้องทราบถึงระเบียบต่างๆ ของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น ค่าส่วนกลางเป็นเท่าไหร่ ต่อเดือน คอนโดมิเนียมบางแห่งราคาถูก แต่อาจจะต้องจ่ายค่าส่วนกลางแพง (ค่าส่วนกลางเป็นเงินที่เจ้าของ ทุกห้องจะต้องชำระให้กับนิติบุคคลอาคารชุด เพื่อที่จะนำเงินเหล่านี้ไปใช้จ่ายในการบริหาร และ บริการในส่วนต่างๆ ที่เป็นส่วนกลาง เช่น เงินเดือนยาม ค่าไฟฟ้าทางเดิน ค่าไฟฟ้าของลิฟท์ ค่าบำรุงซ่อมแซมต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าของห้องชุดทุกห้อง)
ที่มา: Propertytothai
เมื่อคุณตัดสินใจจะซื้อคอนโดมิเนียม สิ่งที่คุณควรคำนึงถึงก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง ทำเล, งบประมาณ และขนาดพื้นที่ของห้องที่คุณต้องการซื้อ หลายท่านอาจจะเลือกคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับที่ทำงาน บางท่านเลือกใกล้สถานศึกษา ตลอดไปจนถึงห้างสรรพสินค้า หรือ โรงพยาบาล สำหรับงบประมาณนั้นโดยปกติแล้วก็ขึ้นอยู่กับราคาของทำเล ที่ดิน การก่อสร้าง และสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อพิจารณาเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการจะซื้อคอนโด อย่างไรก็ตามการตรวจสอบรายละเอียดของตัวอาคาร และเรื่องเอกสารต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรที่จะละเลย นอกเหนือไปจากทำเล และ งบประมาณ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง สิ่งที่คุณควรตรวจสอบก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียม
ขนาดพื้นที่
ถ้า คุณให้ความสำคัญกับขนาดพื้นที่ห้องมาก คุณก็ควรจะนำตลับเมตรไปวัดด้วยตัวคุณเองเลย ว่าตรงตามที่ผู้ขายประกาศไว้หรือไม่ เมื่อคุณทราบขนาดพื้นที่ที่ถูกต้องแล้ว คุณก็ยังสามารถนำมาคำนวณเปรียบเทียบราคาต่อตารางเมตรได้อีกด้วย
ที่จอดรถ
คุณควรตรวจสอบดูว่าพื้นที่ ที่จอดรถของคอนโดมิเนียมนั้นๆ มีเพียงพอกับจำนวนยูนิตทั้งหมดหรือไม่
การก่อสร้าง
คุณอาจจะสอบถามจากบริษัทที่ดูแลคอนโดมิเนียมได้ ว่าวัสดุที่ใช้ก่อสร้างมีความแข็งแรงคงทนเพียงไร เป็นวัสดุชนิดไหน นอกจากนี้วัสดุที่กั้นห้องมีความหนามากน้อยเพียงไร มีเสียงเล็ดลอดจากเพื่อนห้องดังไหม หรือห้องที่อยู่เหนือคุณขึ้นไป มีเสียงดังรึเปล่า ในกรณีที่มีการเดินแรงๆ
ระบบสาธรณูปโภค และรักษาความปลอดภัย
ทั้ง 2 เรื่องที่กล่าวมานี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะเข้าอยู่อาศัย ระบบน้ำไฟ เป็นอย่างไร ในกรณีที่อยู่ชั้นสูงๆ น้ำประปาไหลแรงเพียงพอหรือไม่ หากเกิดไฟดับ มีระบบไฟฉุกเฉินเพียงพอหรือไม่ การรักษาความปลอดภัย มียามตลอด 24 ชม. ระบบการจัดเก็บขยะ การจัดและรับส่งไปรษณีย์ ตรวจสอบว่ามีการติดตั้งเครื่องตรวจควัน (smoke detector) หัวฉีดน้ำ (spinkle) ในตัวอาคารและห้อง บันไดหนีไฟมีขนาดได้มาตรฐาน หรือไม่ นอกจากนี้ ตรวจสอบดูว่าลิฟท์โดยสาร มีเพียงพอกับจำนวนคนที่พักอยู่หรือไม่ เวลาการเปิดปิดลิฟท์เป็นอย่างไร
สัญญา
โดยปกติ แล้วผู้ซื้อทั่วๆ ไปจะละเลยต่อรายละเอียดของสัญญา เนื่องจากมีเนื้อหาค่อนข้างมากและเป็นตัวบทกฎหมายส่วนใหญ่ หากจะให้ดีคุณควรมีนักกฎหมายคอยให้คำแนะนำ เพื่อทราบถึงสิทธิ ผลประโยชน์ ที่คุณจะได้รับหรือเสีย ตัวอย่างเช่น หากคอนโดมิเนียมที่คุณซื้อแล้ว เกิดเพลิงไหม้เสียหายทั้งตึก คุณจะได้รับค่าชดใช้หรือไม่เพียงใด
ทำเลของห้อง
ผู้ ซื้อส่วนใหญ่ลืมที่จะคิดไปว่า ห้องที่คุณเลือกแล้วนั้น นอกจากวิวทิวทัศน์ดีแล้ว แต่แสงแดดที่ส่องเข้าห้องคุณมีผลกระทบกับคุณหรือไม่ บางคนไม่ชอบที่จะให้แดดส่องเข้าห้องในตอนบ่าย เพราะจะทำให้ห้องของคุณร้อนมาก หรือห้องบางคนไม่มีแสงเข้าเลยทั้งช่วงเช้าและบ่าย
อายุ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า อายุมีอิทธิพลกับการเลือกคอนโดมิเนียมได้อย่างไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ lifesytle ของผู้เข้าอยู่เป็นสำคัญ คอนโดมิเนียมที่คุณสนใจอยู่นั้น ผู้เข้าอาศัยอาจจะเป็นวัยรุ่นซะเป็นส่วนใหญ่ หากคุณมีครอบครัว หรือ คุณต้องการความเงียบสงบ ชุมชนนั้นเหมาะกับคุณหรือไม่ คุณจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับชุมชนได้หรือไม่ อย่าลืมว่าคอนโดมิเนียม ก็เป็นชุมชนเล็กๆ ของคุณ เช่นเพื่อนห้องที่ติดกัน
ระเบียบเงื่อนไขการอยู่อาศัยของคอนโดมิเนียม
ระเบียบข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ จะแตกต่างกันไปในแต่ละคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตามเราควรที่จะรู้ถึงข้อควรปฎิบัติและข้อห้ามเหล่านั้นด้วย โดยทั่วๆ ไปแล้ว บางคอนโดมิเนียมจะไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยง ประเภท สุนัข หรือ แมว มาเลี้ยง บางสถานที่ไม่อนุญาตให้ทำอาหารภายในห้อง โดยใช้เตาแก๊ส บางแห่งไม่อนุณาตให้ขนของ หรือต่อเติม ห้องในวันเสาร์และอาทิตย์
นิติบุคคลอาคารชุด
คงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ทุกคอนโดมิเนียมจะต้องมีนิติบุคคลอาคารชุด และ คุณก็ควรที่จะต้องทราบถึงระเบียบต่างๆ ของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น ค่าส่วนกลางเป็นเท่าไหร่ ต่อเดือน คอนโดมิเนียมบางแห่งราคาถูก แต่อาจจะต้องจ่ายค่าส่วนกลางแพง (ค่าส่วนกลางเป็นเงินที่เจ้าของ ทุกห้องจะต้องชำระให้กับนิติบุคคลอาคารชุด เพื่อที่จะนำเงินเหล่านี้ไปใช้จ่ายในการบริหาร และ บริการในส่วนต่างๆ ที่เป็นส่วนกลาง เช่น เงินเดือนยาม ค่าไฟฟ้าทางเดิน ค่าไฟฟ้าของลิฟท์ ค่าบำรุงซ่อมแซมต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าของห้องชุดทุกห้อง)
ที่มา: Propertytothai
คอนโด ตอบโจทย์หลายข้อ
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
วินาทีนี้ต้องยอมรับว่า ตลาดคอนโดมิ เนียมมาแรงแซงความนิยมที่อยู่อาศัยประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ อย่างไรก็ตามหลายคนคงต้องการทราบสาเหตุของการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียม วันนี้ถือโอกาสชวนคุยข้อมูลโพลสำรวจหลายหัวข้อเกี่ยวกับคอนโดมิเนียม เป็นของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ที่จะนำมาบอกต่อดังนี้
ผลการสำรวจ
หัวข้อ 1) "การเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลเป็นไปเพื่อเหตุผลใด" คำตอบของกลุ่มตัวอย่างเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้
1. อยู่เป็นบ้านหลังแรก 21%
2. อยู่เป็นบ้านหลังที่สอง 29%
3. ลงทุนด้วยเงินตนเองเพื่อปล่อยเช่า 19%
4. ลงทุนด้วยเงินตนเองเพื่อขายหลังโอน 3%
5. ลงทุนด้วยเงินกู้เพื่อปล่อยเช่า 13%
6. ลงทุนด้วยเงินกู้เพื่อขายหลังโอน 3%
7. ลงทุนเก็งกำไรเพื่อขายก่อนโอน 12%
หัวข้อ 2) "ที่ตั้งโครงการคอนโดมิเนียมควรมีระยะห่างจากปากทางเข้า-ออกสถานีขนส่งมวลชนกี่เมตร" ผลสำรวจพบว่า
1. ระยะทางไม่เกิน 100 เมตร 17%
2. ระยะทางตั้งแต่ 101-200 เมตร 26%
3. ระยะทางตั้งแต่ 201-300 เมตร 21%
4. ระยะทางตั้งแต่ 301-400 เมตร 7%
5. ระยะทางตั้งแต่ 401-500 เมตร 16%
6. ระยะทางตั้งแต่ 501-1,000 เมตร 8%
7. ระยะทางเกิน 1 กิโลเมตร ก็ยังได้ มีจำนวน 5%
หัวข้อ 3) "ปัจจัยสำคัญที่สุดที่อาจทำให้ท่านหรือผู้อื่นเลือกซื้อคอนโดในเมืองแทนการซื้อบ้านชานเมือง" ผลสำรวจพบว่า
1. ราคาน้ำมันแพง 12%
2. ระยะทางไกล 31%
3. รถติด 31%
4. ไลฟ์สไตล์ใหม่ 11%
5. ปัจจัยอื่น ๆ 5%
6. ไม่คิดอยู่คอนโดในเมือง 10%
หัวข้อ 4) "ท่านคิดว่าปัจจัยใดสำคัญ ที่สุดในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม"ผลสำรวจพบว่า 1. ราคาน้ำมัน5% 2. ระยะการเดินทาง 34% 3. สภาพการจราจร 18% 4. กำลังซื้อ 32% 5. รสนิยม 8% 6. อื่น ๆ 3%
หัวข้อ 5) "หากท่านจะซื้อห้องชุดคอนโดมิ เนียม ท่านจะเลือกซื้อห้องชุดแบบใด"ผลสำรวจพบว่า 1.ห้องสตูดิโอ4% 2.ห้องแบบ1 ห้องนอน39% 3.ห้องแบบ 2 ห้องนอน36% 3. ห้องแบบ3 ห้องนอนขึ้นไป 6% และ 4.ไม่ตัดสินใจ 15%
หัวข้อ 6) "แนวคิดการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมของท่าน"ผลสำรวจพบว่า 1. ไม่เคยอยู่คอนโดและอยากอยู่คอนโด 30% 2. ไม่เคยอยู่คอนโดและไม่อยากอยู่คอนโด 25% 3. เคยอยู่คอนโดแต่ไม่อยากอยู่คอนโด 15% 4. เคยอยู่คอนโด และอยากอยู่คอนโด 16% และ 5.ไม่ตัดสินใจ และอื่น ๆ14%
หัวข้อ 7) "หากท่านจะซื้อที่อยู่อาศัยครั้งต่อไปจะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภทใด"ผล สำรวจพบว่า1.บ้านเดี่ยวสร้างใหม่39% 2. บ้านเดี่ยวมือสอง 20% 3. ทาวน์เฮาส์สร้างใหม่7% 4. ทาวน์เฮาส์มือสอง 6% 5. คอนโดมิเนียมสร้างใหม่16% 6. คอนโดมิเนียมมือสอง 5% และ 7. อื่น ๆ7%
หัวข้อ 8) "พื้นที่ในกรุงเทพฯที่มีการพัฒนาโครงการห้องชุดคอนโดมิเนียมจำนวนมาก ทำเลที่ท่านสนใจจะซื้อหรือคิดว่ามีความเหมาะสมในการซื้อห้องชุดมากที่สุด คือทำเลใด" ผลสำรวจพบว่า1.บางกะปิ 13% 2.ห้วยขวาง16%3.พระโขนง 10% 4.ราชเทวี16%5.ภาษีเจริญ5% 6.พญาไท 16% และ 7.พื้นที่อื่น ๆ24%
หัวข้อ 9) "ท่านเลือกที่อยู่อาศัยโดยพิจารณาจากปัจจัยใดต่อไปนี้ เรียงลำดับ สำคัญมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด"ผลสำรวจพบว่า1.ใกล้สถานที่ทำงาน66% 2.ใกล้สถานศึกษา 5% 3.ใกล้สถานพยาบาล 4% 5.ใกล้ห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้า10%6.ใกล้สถานที่ติดต่อราชการ2% 7.ใกล้สวนสาธารณะหรือสถานที่ออกกำลังกาย 8% 8.ใกล้แหล่งบันเทิง หรือ สถานที่อื่น ๆ5%
ที่มา: หนังสือพิมพ์ : ประชาชาติธุรกิจ 02-10-2010
วินาทีนี้ต้องยอมรับว่า ตลาดคอนโดมิ เนียมมาแรงแซงความนิยมที่อยู่อาศัยประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ อย่างไรก็ตามหลายคนคงต้องการทราบสาเหตุของการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียม วันนี้ถือโอกาสชวนคุยข้อมูลโพลสำรวจหลายหัวข้อเกี่ยวกับคอนโดมิเนียม เป็นของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ที่จะนำมาบอกต่อดังนี้
ผลการสำรวจ
หัวข้อ 1) "การเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลเป็นไปเพื่อเหตุผลใด" คำตอบของกลุ่มตัวอย่างเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้
1. อยู่เป็นบ้านหลังแรก 21%
2. อยู่เป็นบ้านหลังที่สอง 29%
3. ลงทุนด้วยเงินตนเองเพื่อปล่อยเช่า 19%
4. ลงทุนด้วยเงินตนเองเพื่อขายหลังโอน 3%
5. ลงทุนด้วยเงินกู้เพื่อปล่อยเช่า 13%
6. ลงทุนด้วยเงินกู้เพื่อขายหลังโอน 3%
7. ลงทุนเก็งกำไรเพื่อขายก่อนโอน 12%
หัวข้อ 2) "ที่ตั้งโครงการคอนโดมิเนียมควรมีระยะห่างจากปากทางเข้า-ออกสถานีขนส่งมวลชนกี่เมตร" ผลสำรวจพบว่า
1. ระยะทางไม่เกิน 100 เมตร 17%
2. ระยะทางตั้งแต่ 101-200 เมตร 26%
3. ระยะทางตั้งแต่ 201-300 เมตร 21%
4. ระยะทางตั้งแต่ 301-400 เมตร 7%
5. ระยะทางตั้งแต่ 401-500 เมตร 16%
6. ระยะทางตั้งแต่ 501-1,000 เมตร 8%
7. ระยะทางเกิน 1 กิโลเมตร ก็ยังได้ มีจำนวน 5%
หัวข้อ 3) "ปัจจัยสำคัญที่สุดที่อาจทำให้ท่านหรือผู้อื่นเลือกซื้อคอนโดในเมืองแทนการซื้อบ้านชานเมือง" ผลสำรวจพบว่า
1. ราคาน้ำมันแพง 12%
2. ระยะทางไกล 31%
3. รถติด 31%
4. ไลฟ์สไตล์ใหม่ 11%
5. ปัจจัยอื่น ๆ 5%
6. ไม่คิดอยู่คอนโดในเมือง 10%
หัวข้อ 4) "ท่านคิดว่าปัจจัยใดสำคัญ ที่สุดในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม"ผลสำรวจพบว่า 1. ราคาน้ำมัน5% 2. ระยะการเดินทาง 34% 3. สภาพการจราจร 18% 4. กำลังซื้อ 32% 5. รสนิยม 8% 6. อื่น ๆ 3%
หัวข้อ 5) "หากท่านจะซื้อห้องชุดคอนโดมิ เนียม ท่านจะเลือกซื้อห้องชุดแบบใด"ผลสำรวจพบว่า 1.ห้องสตูดิโอ4% 2.ห้องแบบ1 ห้องนอน39% 3.ห้องแบบ 2 ห้องนอน36% 3. ห้องแบบ3 ห้องนอนขึ้นไป 6% และ 4.ไม่ตัดสินใจ 15%
หัวข้อ 6) "แนวคิดการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมของท่าน"ผลสำรวจพบว่า 1. ไม่เคยอยู่คอนโดและอยากอยู่คอนโด 30% 2. ไม่เคยอยู่คอนโดและไม่อยากอยู่คอนโด 25% 3. เคยอยู่คอนโดแต่ไม่อยากอยู่คอนโด 15% 4. เคยอยู่คอนโด และอยากอยู่คอนโด 16% และ 5.ไม่ตัดสินใจ และอื่น ๆ14%
หัวข้อ 7) "หากท่านจะซื้อที่อยู่อาศัยครั้งต่อไปจะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภทใด"ผล สำรวจพบว่า1.บ้านเดี่ยวสร้างใหม่39% 2. บ้านเดี่ยวมือสอง 20% 3. ทาวน์เฮาส์สร้างใหม่7% 4. ทาวน์เฮาส์มือสอง 6% 5. คอนโดมิเนียมสร้างใหม่16% 6. คอนโดมิเนียมมือสอง 5% และ 7. อื่น ๆ7%
หัวข้อ 8) "พื้นที่ในกรุงเทพฯที่มีการพัฒนาโครงการห้องชุดคอนโดมิเนียมจำนวนมาก ทำเลที่ท่านสนใจจะซื้อหรือคิดว่ามีความเหมาะสมในการซื้อห้องชุดมากที่สุด คือทำเลใด" ผลสำรวจพบว่า1.บางกะปิ 13% 2.ห้วยขวาง16%3.พระโขนง 10% 4.ราชเทวี16%5.ภาษีเจริญ5% 6.พญาไท 16% และ 7.พื้นที่อื่น ๆ24%
หัวข้อ 9) "ท่านเลือกที่อยู่อาศัยโดยพิจารณาจากปัจจัยใดต่อไปนี้ เรียงลำดับ สำคัญมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด"ผลสำรวจพบว่า1.ใกล้สถานที่ทำงาน66% 2.ใกล้สถานศึกษา 5% 3.ใกล้สถานพยาบาล 4% 5.ใกล้ห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้า10%6.ใกล้สถานที่ติดต่อราชการ2% 7.ใกล้สวนสาธารณะหรือสถานที่ออกกำลังกาย 8% 8.ใกล้แหล่งบันเทิง หรือ สถานที่อื่น ๆ5%
ที่มา: หนังสือพิมพ์ : ประชาชาติธุรกิจ 02-10-2010
ชีวิตคนกรุง ชีวิตลอยฟ้า อยู่สบาย... สไตล์คอนโด
บทความนำมาจาก http://www.cmc.co.th/
มหานครกรุงเทพฯ กล่าวได้ว่านับวันการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตประจำวันของคนกรุงยุคใหม่แทบจะ ไม่แตกต่างจากเมืองใหญ่อีกหลายเมืองทั่วโลก โดยเฉพาะการอยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองหรือทำเลในเมืองที่ปัจจุบันกลายเป็น ทางเลือกอันดับแรกไปแล้ว จากเดิมนิยมเลือกซื้อบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮาส์เป็นหลัก
จากจำนวนประชากรล่าสุด ณสิ้นปี 2552 อ้างอิงสถิติของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่ 5.7 ล้านคน แยกเป็นประชากรชายกว่า 7 ล้านคนและหญิงกว่า 2.9 ล้านคน เฉพาะส่วนที่เป็นประชากรที่มีทะเบียนบ้านในกรุงเทพมหานคร
ไม่นับรวม จำนวนประชากรแฝงที่เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในกรุงเทพมหานครและที่เดินทาง เข้ามาแบบเช้า-เย็นกลับอีกในปริมาณเกือบเท่า ๆ กัน รวมแล้วมีประชากรที่อยู่อาศัยและทำงานในกรุงเทพมหานครมากถึงกว่า 10 ล้านคนจึงเป็นไปได้สูงที่ภายในปี 2576 หรืออีก 23 ปีข้างหน้า กรุงเทพมหานครจะกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เรียกว่า"เมกะซิตี้" หรือ"มหานคร" มีอัตราความหนาแน่นของประชากรและการเจริญเติบโตเทียบเท่าเมืองขนาดใหญ่แห่ง อื่น ๆ ในโลก
อันดับ 7 เมืองตึกระฟ้าของเอเชีย
"กทม." ถูกจัดให้เป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับที่31 ในโลก จากการจัดอันดับของเว็บไซต์ http://www.citypopulation.de ที่จัดอันดับ"เมืองมหานคร" อันหมายถึงเมืองที่มีจำนวนประชากรพักอาศัยมากกว่า10 ล้านคนขึ้นไป
ทั้ง นี้ทั้งนั้นที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ การจัดอันดับเมืองใหญ่ที่มีตึกระฟ้ามากที่สุดในเอเชีย ณ เดือนสิงหาคม2553 ปรากฏว่ากรุงเทพมหานครติด 1 ใน 10 อันดับ โดยรั้งอันดับ 7 จากท็อป10 เมืองที่มีตึกสูงมากที่สุดในเอเชีย ประกอบด้วย
อันดับ 1 เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นจำนวนตึกสูง 1,157 ตึกอันดับ 2 เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน 631 ตึกอันดับ 3 เมืองดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 441 ตึกอันดับ 4 เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน399 ตึกอันดับที่5 เมืองฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 359 ตึก
อันดับที่ 6 เมืองโซล เกาหลีใต้ 323 ตึกอันดับที่ 7 กรุงเทพมหานคร 305 ตึกอันดับที่ 8 เมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน 279 ตึกอันดับที่ 9 เมืองปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 277 ตึกและ อันดับที่ 10 สิงคโปร์ 264 ตึก"เมืองเปลี่ยน ไลฟ์สไตล์ก็เปลี่ยนตาม"จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปัจจุบันบริษัทพัฒนาที่ดิน ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ต่างแข่งกันลอนช์โปรดักต์รองรับดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยในฐานะเมกะซิ ตี้ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลเชิงสถิติบ่งชี้ชัดเจนว่า อัตราการเติบโตของโครงการตึกสูงในมหานครกรุงเทพฯ ไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคเอเชีย เรียกว่ายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับจีนญี่ปุ่น เกาหลี ทีเดียวเชียว
ควบ คู่กันไปกับภาวะ "บูม" ของโครงการตึกสูงในเขตเมืองหลวงกรุงเทพฯเมื่อเจาะลึกลงรายละเอียดไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าโครงการตึกสูงดังกล่าวจะเกาะกลุ่มการลงทุน2-3 โปรดักต์หลัก ๆ ได้แก่ โรงแรมออฟฟิศบิลดิ้ง และคอนโดมิเนียม
กล่าวสำหรับตลาดคอนโดมิเนียม ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) หรือREIC ระบุมียอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมครองแชมป์ต่อเนื่อง ประเมินจากสถิติปี2552 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยรวมในกรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล160,563 หน่วย มียอดโอนคอนโดมิเนียมสูงสุด56,107 หน่วย ทาวน์เฮาส์51,479 หน่วย บ้านเดี่ยว33,118 หน่วย อาคารพาณิชย์15,314 หน่วย และบ้านแฝด4,545 หน่วย
เทียบปี 2551 ยอดโอนกรรมสิทธิ์รวม 146,451 หน่วย แบ่งเป็นคอนโด 45,815 หน่วย ทาวน์เฮาส์ 47,947 หน่วย บ้านเดี่ยว 32,338 หน่วย อาคารพาณิชย์ 15,741 หน่วย และบ้านแฝด 4,610 หน่วย เทียบปี2550 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยรวม 134,932 หน่วย เป็นคอนโด 39,197 หน่วย ทาวน์เฮาส์44,243 หน่วยบ้านเดี่ยว 31,457 หน่วย อาคารพาณิชย์ 15,977 หน่วย และบ้านแฝด 4,058 หน่วย
จากข้อมูลดังกล่าวพบว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์หน่วยที่เป็นห้องชุดหรือคอนโดเดิม เคยมีจำนวนน้อยกว่าทาวน์เฮาส์ในปี2550 และ 2551 เมื่อย่างเข้าปี2552 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ก็กลับมามีจำนวนมากกว่า เหตุผลเป็นเพราะโครงการคอนโดเมื่อมีการจองซื้อแล้ว กว่าจะส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์จะต้องใช้เวลา1 ปีครึ่ง-2 ปีแสดงให้เห็นว่า การเลือกซื้อคอนโดได้รับความนิยมอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายปี2549 จนถึงปัจจุบัน
สรุปได้ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะคอนโดระดับ ราคาปานกลาง1-3 ล้านบาท ที่บูมต่อเนื่องมานานหลายปี เนื่องจากเซ็กเมนต์นี้มีฐานตลาดค่อนข้างกว้าง กลุ่มลูกค้ากระจายอยู่หลายทำเลทั่วกรุงเทพมหานครและพื้นที่ซึ่งเป็นเขตรอย ต่อปริมณฑลอย่างนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ฯลฯ
ปุจฉา: ทำไมต้อง "อยู่คอนโด"
"คอนโดมิเนียม" จากที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่และมีกลุ่มลูกค้าค่อนข้างจะจำกัด ต่อมาเมื่อมีผู้ริเริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงในยุคแรก ๆ ช่วงก่อนปี2520 เวลาผ่านไปกว่า30 ปีทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมมีการพัฒนาหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการดีไซน์ การวางคอนเซ็ปต์โครงการการทำการตลาดและส่งเสริมการขาย
ควบคู่กันไป ทางหน่วยงานภาครัฐก็ได้มีความพยายามพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการคอนโด เพื่อยกระดับมาตรฐานในการพัฒนาโครงการ ยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคที่เลือกซื้อคอนโดฯ สำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย
อาทิ กฎหมายอาคารชุดฉบับแรกพ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 กฎกระทรวงที่ออกภายใต้ พ.ร.บ.อาคารชุด จนถึงกฎหมายอาคารชุดฉบับปัจจุบันพ.ร.บ.อาคารชุด ฉบับที่4 พ.ศ. 2551 พ.ร.บ.ผังเมือง พ.ศ.2518 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 พ.ร.บ.การจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ.2551 เป็นต้น
ส่งผลให้โครงการคอนโดมิ เนียมได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้น ผลพวงจากการยกระดับมาตรฐานโครงการทั้งในด้านคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม พื้นที่สีเขียวและการสร้างความร่มรื่นด้วยการดึงธรรมชาติมาไว้ในตัวโครงการ ความปลอดภัย ความสะดวกสบายต่าง ๆ ในการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส คลับเฮาส์ฯลฯ ในระดับที่เทียบเท่า หรือบางโครงการอาจจะเหนือกว่าโครงการที่อยู่อาศัยในแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์
จับตาทำเล "บลูโอเชี่ยน"
จากที่ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้"คนกรุง"ยุคปัจจุบันโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เลือกซื้อคอนโดเป็น ที่อยู่อาศัยมากขึ้น มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันหรือไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะดวกสบาย ความปลอดภัย การประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางฯลฯ ส่งผลให้คอนโดที่ อยู่ในทำเลใจกลางเมือง และตามแนวรถไฟฟ้าได้รับการตอบสนองจากลูกค้าจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีทำเลเด่นที่ฮอตฮิตติดอันดับและทำเลใหม่ ๆ ที่โครงการคอนโดฯเริ่มเข้าไปปักหมุดลงทุนทำตลาดและมีแนวโน้มว่าน่าจะได้รับ ความนิยมเพิ่มขึ้น
ได้แก่ สาทร สีลม สุขุมวิท เพลินจิตวิทยุ หลังสวน ทองหล่อ พหลโยธินลาดพร้าว รัชดาภิเษก อโศก พระราม 3 นราธิวาสราชนครินทร์ ที่กำลังมาแรงคือทำเลรถไฟฟ้า ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายฝั่งธนบุรี จากสาทร-วงเวียนใหญ่ ที่เพิ่งเปิดใช้บริการ ส่วนต่อขยายวงเวียนใหญ่บางหว้า และส่วนต่อขยายอ่อนนุช-แบริ่งที่กำลังก่อสร้าง รวมทั้งแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และที่ภาครัฐจะผลักดันก่อสร้างในอนาคต อย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-ท่าพระ และท่าพระ-บางแครถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิตสะพานใหม่ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวจากสถานีแบริ่ง-สมุทรปราการ
ที่มา: หนังสือพิมพ์ : ประชาชาติธุรกิจ 02-10-2010
มหานครกรุงเทพฯ กล่าวได้ว่านับวันการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตประจำวันของคนกรุงยุคใหม่แทบจะ ไม่แตกต่างจากเมืองใหญ่อีกหลายเมืองทั่วโลก โดยเฉพาะการอยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองหรือทำเลในเมืองที่ปัจจุบันกลายเป็น ทางเลือกอันดับแรกไปแล้ว จากเดิมนิยมเลือกซื้อบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮาส์เป็นหลัก
จากจำนวนประชากรล่าสุด ณสิ้นปี 2552 อ้างอิงสถิติของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่ 5.7 ล้านคน แยกเป็นประชากรชายกว่า 7 ล้านคนและหญิงกว่า 2.9 ล้านคน เฉพาะส่วนที่เป็นประชากรที่มีทะเบียนบ้านในกรุงเทพมหานคร
ไม่นับรวม จำนวนประชากรแฝงที่เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในกรุงเทพมหานครและที่เดินทาง เข้ามาแบบเช้า-เย็นกลับอีกในปริมาณเกือบเท่า ๆ กัน รวมแล้วมีประชากรที่อยู่อาศัยและทำงานในกรุงเทพมหานครมากถึงกว่า 10 ล้านคนจึงเป็นไปได้สูงที่ภายในปี 2576 หรืออีก 23 ปีข้างหน้า กรุงเทพมหานครจะกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เรียกว่า"เมกะซิตี้" หรือ"มหานคร" มีอัตราความหนาแน่นของประชากรและการเจริญเติบโตเทียบเท่าเมืองขนาดใหญ่แห่ง อื่น ๆ ในโลก
อันดับ 7 เมืองตึกระฟ้าของเอเชีย
"กทม." ถูกจัดให้เป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับที่31 ในโลก จากการจัดอันดับของเว็บไซต์ http://www.citypopulation.de ที่จัดอันดับ"เมืองมหานคร" อันหมายถึงเมืองที่มีจำนวนประชากรพักอาศัยมากกว่า10 ล้านคนขึ้นไป
ทั้ง นี้ทั้งนั้นที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ การจัดอันดับเมืองใหญ่ที่มีตึกระฟ้ามากที่สุดในเอเชีย ณ เดือนสิงหาคม2553 ปรากฏว่ากรุงเทพมหานครติด 1 ใน 10 อันดับ โดยรั้งอันดับ 7 จากท็อป10 เมืองที่มีตึกสูงมากที่สุดในเอเชีย ประกอบด้วย
อันดับ 1 เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นจำนวนตึกสูง 1,157 ตึกอันดับ 2 เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน 631 ตึกอันดับ 3 เมืองดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 441 ตึกอันดับ 4 เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน399 ตึกอันดับที่5 เมืองฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 359 ตึก
อันดับที่ 6 เมืองโซล เกาหลีใต้ 323 ตึกอันดับที่ 7 กรุงเทพมหานคร 305 ตึกอันดับที่ 8 เมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน 279 ตึกอันดับที่ 9 เมืองปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 277 ตึกและ อันดับที่ 10 สิงคโปร์ 264 ตึก"เมืองเปลี่ยน ไลฟ์สไตล์ก็เปลี่ยนตาม"จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปัจจุบันบริษัทพัฒนาที่ดิน ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ต่างแข่งกันลอนช์โปรดักต์รองรับดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยในฐานะเมกะซิ ตี้ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลเชิงสถิติบ่งชี้ชัดเจนว่า อัตราการเติบโตของโครงการตึกสูงในมหานครกรุงเทพฯ ไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคเอเชีย เรียกว่ายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับจีนญี่ปุ่น เกาหลี ทีเดียวเชียว
ควบ คู่กันไปกับภาวะ "บูม" ของโครงการตึกสูงในเขตเมืองหลวงกรุงเทพฯเมื่อเจาะลึกลงรายละเอียดไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าโครงการตึกสูงดังกล่าวจะเกาะกลุ่มการลงทุน2-3 โปรดักต์หลัก ๆ ได้แก่ โรงแรมออฟฟิศบิลดิ้ง และคอนโดมิเนียม
กล่าวสำหรับตลาดคอนโดมิเนียม ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) หรือREIC ระบุมียอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมครองแชมป์ต่อเนื่อง ประเมินจากสถิติปี2552 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยรวมในกรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล160,563 หน่วย มียอดโอนคอนโดมิเนียมสูงสุด56,107 หน่วย ทาวน์เฮาส์51,479 หน่วย บ้านเดี่ยว33,118 หน่วย อาคารพาณิชย์15,314 หน่วย และบ้านแฝด4,545 หน่วย
เทียบปี 2551 ยอดโอนกรรมสิทธิ์รวม 146,451 หน่วย แบ่งเป็นคอนโด 45,815 หน่วย ทาวน์เฮาส์ 47,947 หน่วย บ้านเดี่ยว 32,338 หน่วย อาคารพาณิชย์ 15,741 หน่วย และบ้านแฝด 4,610 หน่วย เทียบปี2550 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยรวม 134,932 หน่วย เป็นคอนโด 39,197 หน่วย ทาวน์เฮาส์44,243 หน่วยบ้านเดี่ยว 31,457 หน่วย อาคารพาณิชย์ 15,977 หน่วย และบ้านแฝด 4,058 หน่วย
จากข้อมูลดังกล่าวพบว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์หน่วยที่เป็นห้องชุดหรือคอนโดเดิม เคยมีจำนวนน้อยกว่าทาวน์เฮาส์ในปี2550 และ 2551 เมื่อย่างเข้าปี2552 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ก็กลับมามีจำนวนมากกว่า เหตุผลเป็นเพราะโครงการคอนโดเมื่อมีการจองซื้อแล้ว กว่าจะส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์จะต้องใช้เวลา1 ปีครึ่ง-2 ปีแสดงให้เห็นว่า การเลือกซื้อคอนโดได้รับความนิยมอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายปี2549 จนถึงปัจจุบัน
สรุปได้ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะคอนโดระดับ ราคาปานกลาง1-3 ล้านบาท ที่บูมต่อเนื่องมานานหลายปี เนื่องจากเซ็กเมนต์นี้มีฐานตลาดค่อนข้างกว้าง กลุ่มลูกค้ากระจายอยู่หลายทำเลทั่วกรุงเทพมหานครและพื้นที่ซึ่งเป็นเขตรอย ต่อปริมณฑลอย่างนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ฯลฯ
ปุจฉา: ทำไมต้อง "อยู่คอนโด"
"คอนโดมิเนียม" จากที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่และมีกลุ่มลูกค้าค่อนข้างจะจำกัด ต่อมาเมื่อมีผู้ริเริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงในยุคแรก ๆ ช่วงก่อนปี2520 เวลาผ่านไปกว่า30 ปีทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมมีการพัฒนาหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการดีไซน์ การวางคอนเซ็ปต์โครงการการทำการตลาดและส่งเสริมการขาย
ควบคู่กันไป ทางหน่วยงานภาครัฐก็ได้มีความพยายามพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการคอนโด เพื่อยกระดับมาตรฐานในการพัฒนาโครงการ ยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคที่เลือกซื้อคอนโดฯ สำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย
อาทิ กฎหมายอาคารชุดฉบับแรกพ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 กฎกระทรวงที่ออกภายใต้ พ.ร.บ.อาคารชุด จนถึงกฎหมายอาคารชุดฉบับปัจจุบันพ.ร.บ.อาคารชุด ฉบับที่4 พ.ศ. 2551 พ.ร.บ.ผังเมือง พ.ศ.2518 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 พ.ร.บ.การจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ.2551 เป็นต้น
ส่งผลให้โครงการคอนโดมิ เนียมได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้น ผลพวงจากการยกระดับมาตรฐานโครงการทั้งในด้านคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม พื้นที่สีเขียวและการสร้างความร่มรื่นด้วยการดึงธรรมชาติมาไว้ในตัวโครงการ ความปลอดภัย ความสะดวกสบายต่าง ๆ ในการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส คลับเฮาส์ฯลฯ ในระดับที่เทียบเท่า หรือบางโครงการอาจจะเหนือกว่าโครงการที่อยู่อาศัยในแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์
จับตาทำเล "บลูโอเชี่ยน"
จากที่ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้"คนกรุง"ยุคปัจจุบันโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เลือกซื้อคอนโดเป็น ที่อยู่อาศัยมากขึ้น มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันหรือไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะดวกสบาย ความปลอดภัย การประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางฯลฯ ส่งผลให้คอนโดที่ อยู่ในทำเลใจกลางเมือง และตามแนวรถไฟฟ้าได้รับการตอบสนองจากลูกค้าจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีทำเลเด่นที่ฮอตฮิตติดอันดับและทำเลใหม่ ๆ ที่โครงการคอนโดฯเริ่มเข้าไปปักหมุดลงทุนทำตลาดและมีแนวโน้มว่าน่าจะได้รับ ความนิยมเพิ่มขึ้น
ได้แก่ สาทร สีลม สุขุมวิท เพลินจิตวิทยุ หลังสวน ทองหล่อ พหลโยธินลาดพร้าว รัชดาภิเษก อโศก พระราม 3 นราธิวาสราชนครินทร์ ที่กำลังมาแรงคือทำเลรถไฟฟ้า ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายฝั่งธนบุรี จากสาทร-วงเวียนใหญ่ ที่เพิ่งเปิดใช้บริการ ส่วนต่อขยายวงเวียนใหญ่บางหว้า และส่วนต่อขยายอ่อนนุช-แบริ่งที่กำลังก่อสร้าง รวมทั้งแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และที่ภาครัฐจะผลักดันก่อสร้างในอนาคต อย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-ท่าพระ และท่าพระ-บางแครถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิตสะพานใหม่ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวจากสถานีแบริ่ง-สมุทรปราการ
ที่มา: หนังสือพิมพ์ : ประชาชาติธุรกิจ 02-10-2010
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)